ส่องอนาคต “พรรคเพื่อไทย” ไฉนเห็น “พรคประชาธิปัตย์”
คอลัมน์จับกระแสการเมือง..โดยนายนิรนาม..เว็บไซต์โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 29 มิถุนายน 2568
แม้จะเริ่มต้นด้วยกระแสสร้างความหวังใหม่ให้ประชาชน และการเป็น “ทายาทการเมือง” ของตระกูลชินวัตร แต่จากผลโพลล่าสุดทั้งจาก นิด้าโพล และ สวนดุสิตโพล กลับสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่า ความนิยมในตัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยกำลังถดถอยลงอย่างน่าใจหาย ทั้งในฐานะ “ตัวบุคคล” และ “พรรคการเมือง”
โพลของนิด้า พบว่า นางสาวแพทองธาร หล่นไปอยู่อันดับ 5 ในกลุ่มบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีคะแนนเพียง 9.2% ตามหลังนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่มาแรงแซงโค้งคว้าอันดับ 1 ไปที่ 31.48% ในขณะที่ความนิยมของพรรคเพื่อไทยก็ร่วงไปอยู่อันดับ 3 ด้วยคะแนนเพียง 11.52% ขณะที่พรรคประชาชน ครองใจประชาชนเป็นที่ 1 ด้วยคะแนน 46.08%
จุดอ่อนเริ่มเด่นชัดเมื่อภาวะผู้นำที่ยังไม่เปล่งแสง
แม้นางสาวแพทองธารจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนตั้งใจ และเป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ แต่ข้อจำกัดด้านประสบการณ์ ทำให้ยังไม่สามารถสร้าง “ภาพความเชื่อมั่น” ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตอยู่ในขณะนี้
เกมอำนาจภายในรัฐบาลเร่งให้ “พังไว”
กรณีการแย่งชิงเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับพรรคภูมิใจไทย กลายเป็น จุดเปราะที่ทำลายเสถียรภาพรัฐบาล ทั้งยังส่งสัญญาณให้ประชาชนเห็นว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้มุ่งทำงานเพื่อชาติเป็นหลัก แต่กำลังเล่นเกมจัดสรรอำนาจ
ผลงานเศรษฐกิจยังไม่โดดเด่นพอ
แม้จะมีนโยบายประชานิยม เช่น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แต่ภาพรวมการจัดการเศรษฐกิจยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพ ความยากจน และราคาสินค้า ยังเป็นเรื่องที่ทำให้ “หมดความคาดหวังลงไปเรื่อยๆ”
การสื่อสารที่ยังไม่เชื่อมต่อกับประชาชน
รัฐบาลขาดการสร้าง “narrative” ที่แข็งแรง ขาดการอธิบายนโยบายอย่างมีพลังต่อสาธารณะ และปล่อยให้ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายขับเคลื่อนการสื่อสารเชิงรุก จนคะแนนดัชนีภาพรวมทางการเมืองตกไปอยู่เพียง 4.13 คะแนน (ต่ำสุดในรอบ 18 เดือน) ตามผลสำรวจของสวนดุสิตโพล
รัฐบาลแพทองธารกำลังเจอทางแยกสำคัญ
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป โดยไม่มีการ “กลับลำ” หรือ “รีเซตกลยุทธ์การเมือง” อย่างจริงจัง โอกาสที่รัฐบาลนางสาวแพทองธาร จะหมดแรงส่ง และกลายเป็น “รัฐบาลที่ประชาชนไม่ต้องการน” ภายในปลายปี 2568 มีสูงมาก
สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ ได้แก่:
สร้างผลงาน “เร่งเห็นผล” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจฐานราก
รีแบรนด์ภาพลักษณ์ผู้นำให้ “เข้าถึง-จริงใจ-กล้าตัดสินใจ”
ลดเกมอำนาจภายใน พุ่งเป้าการบริหารงานเพื่อประชาชน
เชื่อมต่อกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากกว่าการเป็นแบรนด์การเมืองแบบเก่า
ณ ปัจจุบัน รัฐบาลนางสาวแพทองธารกำลังเผชิญ “ภาวะสูญญากาศทางความนิยม” ที่น่ากังวล เพราะในขณะที่ฐานเดิมของเพื่อไทยยังเหลืออยู่ แต่ฐานใหม่ที่คาดหวังว่าจะสร้างความนิยมจาก “คนรุ่นใหม่” กลับถูกพรรคประชาชนและนายณัฐพงษ์ แย่งชิงไปอย่างมีนัยสำคัญ
หากไม่เร่ง “ทบทวนยุทธศาสตร์ - รื้อกระบวนทัศน์ทางการเมือง - สร้างผู้นำทางความคิด” อย่างทันเวลา รัฐบาลชุดนี้ก็ยากที่จะเดินต่อไปจนครบวาระ และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ พรรคเพื่อไทย อาจเสียฐานเสียงแบบถาวรจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยคาดหวังไว้มากที่สุด แม้แต่ฐานเสียงเดิมก็อาจรักษาไว้ไม่ได้
เมื่อถึงตอนนั้นอนาคตของพรรคเพื่อไทยอาจเป็นเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ก็เป็นได้