Header Ads

“น้ำท่วมภาคใต้” เสียหายกว่าหมื่นล้าน เศรษฐกิจสะดุดทั้งภูมิภาค


เมื่อเกิดน้ำท่วมเกินวิสัยปกติในภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลักอย่าง หาดใหญ่ (จังหวัด สงขลา) - สำนักวิเคราะห์ของ CEBF (ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย cebf.utcc.ac.th ) สรุปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้าง “ความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยรวมสูงถึงราว 40,000 ล้านบาท” ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 0.22% ของ GDP ของประเทศ 

ผลกระทบเศรษฐกิจโดยรวม

การปิดชั่วคราวของธุรกิจค้าปลีก -ตลาด ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าในหลายจังหวัดภาคใต้ - ส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภคหลายแสนคนที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการจำเป็นได้ 

ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศยกเลิกการเดินทาง การคมนาคมหยุดชะงัก เที่ยวบินถูกยกเลิก ราคาตั๋วโดยสารขยับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

เหตุการณ์ยังส่งผลต่อกิจกรรมระดับชาติ ที่มีกำหนดจัดในภาคใต้ - ตัวอย่างเช่น การยกเลิกการจัด SEA Games 2025 ในพื้นที่สงขลา และการเลื่อนงานสัมมนาของภาคเอกชนหลายรายการออกอย่างกระทันหัน 

ความเสียหายแยกตามภาคเศรษฐกิจ

การประเมินของ CEBF แสดงตัวเลข “ความเสียหายเฉลี่ย (ค่ากลาง)” ดังนี้:

ภาคเกษตรกรรม : 10,720 ล้านบาท (ช่วงประเมิน 9,380–12,060 ล้านบาท) 

ภาคอุตสาหกรรม:  6,840 ล้านบาท (ช่วง 5,985–7,695 ล้านบาท) 

ภาคบริการ:  22,440 ล้านบาท (ช่วง 19,635–25,245 ล้านบาท) นับว่าหนักสุดในบรรดาทุกภาคเศรษฐกิจ 

ความยืดเยื้อของผลกระทบ และข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการ

ประมาณ 70% ของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบระบุว่า “อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวไม่น้อยกว่า 1 เดือน” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบมีแนวโน้มยาวนาน ไม่ใช่แค่ชั่วคราว 

เสียงจากภาคธุรกิจเรียกร้องให้รัฐให้ “เงินสด (cash)” แก่ผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทันที ไม่ใช่การออก “เครดิต” หรือ “สินเชื่อ” ที่อาจยืดเวลา ไม่ตรงต่อความต้องการระยะสั้นของผู้ได้รับผลกระทบ 

ข้อเสนอเชิงนโยบายจาก CEBF

เพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน CEBF เสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนสำหรับภาคใต้ ดังนี้:

● จัดสรรเงินช่วยเหลือโดยตรง (cash relief) แก่ธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทันที ไม่ทอดเวลา

        ● ปรับบทบาทธนาคารและสถาบันการเงินให้การให้กู้เป็น “ทางเลือกเสริม” ไม่ใช่ “กลไกหลัก” ในการบรรเทาวิกฤต เพื่อหลีกเลี่ยงภาระหนี้ระยะยาวต่อผู้ประกอบการที่เพิ่งฟื้นตัว

        ● กำหนด “แผนฟื้นฟูระยะสั้น 2 เดือน” ให้ชัดเจน  เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นเห็นภาพร่วม และสามารถดำเนินการประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ในภาคใต้ ไม่ใช่ “เหตุการณ์ประจำ”  เพราะระดับน้ำตกหนักถึง 672.5 มม. ใน 24 ชั่วโมง ถูกประเมินว่านับเป็นเหตุการณ์ “1 ครั้งในรอบ 300 ปี” 

ทว่าสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ “โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง” โดยเฉพาะภาคบริการและ SME ที่ไม่มีสภาพคล่องสำรอง และพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก

หากรัฐไม่เร่งฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือที่ตรงจุด และไม่ออกมาตรการเยียวยาด้วย “เงินสดจริง” ภายใน 1–2 เดือนข้างหน้า มีความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะรายย่อยจะ “ตายก่อนฟื้น”  สิ่งนี้อาจลากให้เศรษฐกิจภาคใต้ซบเซานานหลายไตรมาส และซึมลึกถึงภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ

สิ่งที่ควรดำเนินอย่างเร่งด่วน คือ "แผนฟื้นฟูเฉพาะพื้นที่" ที่มีความชัดเจนทั้งด้านงบประมาณและกลไก รวมถึงการประกาศมาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว เพื่อดึงการลงทุน และการเดินทางกลับเข้าสู่ภาคบริการ/การท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด

-------------------------------------

        หมายเหตุ : เรียบเรียงโดยกองบรรณาธิการ โลกธุรกิจ

        อ่านรายละเอียดรายงานผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ (พ.ย. 2568)  คลิก >> ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 

        ภาพประกอบจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM

Theme images by fpm. Powered by Blogger.