Header Ads

พรรคไทยก้าวใหม่ จี้รัฐแก้ปัญหาเด็กถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน - หลุดออกนอกระบบการศึกษา


จากกรณีกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นเผยผลสำรวจปีงบประมาณ 2567 พบเด็กประถมและมัธยมต้นขาดเรียนเกิน 30 วันกว่า 353,970 คน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ เพิ่มขึ้น 2.2% และต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เหตุจากผู้ปกครองมองว่าไม่ควรบังคับให้เด็กไปโรงเรียน หันมาเรียนผ่านโฮมสคูล ศูนย์การเรียนรู้ หรือระบบทางไกลมากขึ้น แต่หลายคนขาดการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ปัญหาการกลั่นแกล้งและความรุนแรงในโรงเรียนเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของเด็กจำนวนมาก.อาจนำไปสู่อัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นได้

นายชยพงศ์ สายฟ้า นักบริหารการศึกษาและรองหัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวว่าหลังจากเห็นรายงานข่าวของประเทศญี่ปุ่นแล้ว มีมุมมองว่าประเทศไทยก็ควรเร่งรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน เพราะในปี 2567 มีรายงานจากกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่านักเรียนกว่า 3 ล้านคนอยู่ใต้เส้นความยากจน และมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาถึง 982,304 คน สาเหตุหลักมาจากภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2568 ถึงแม้จะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่จำนวนเด็กยากจนมีอัตราเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 2 เท่า ตนเองในฐานะนักบริหารการศึกษา จึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาเชิงระบบ เช่น สร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ปรับเงินอุดหนุนรายหัวให้เหมาะกับบริบทโรงเรียน และจัดสรรงบประมาณตรงถึงผู้ปกครอง เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายธนูดอกที่ 1 ของพรรคไทยก้าวใหม่ ที่มุ่งเน้นการศึกษาที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และทันต่อโลกอนาคต

นอกจากนี้ นายชยพงศ์ ยังระบุว่า อีกสาเหตุของการหลุดจากระบบการศึกษาคือ ปัญหาการกลั่นแกล้งหรือการบุลลี่ในโรงเรียน โดยข้อมูลปี 2568 ชี้ว่า เด็กและเยาวชนไทยเคยถูกกลั่นแกล้งถึง 65.54% และโรงเรียนเป็นสถานที่เกิดเหตุหลัก 83.35% ส่งผลให้เด็กจำนวนมากเกิดปัญหาทางจิตใจ อับอาย เหนื่อยล้า ไม่อยากมาโรงเรียน และบางรายมีความคิดทำร้ายตนเอง จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนอย่างจริงจัง

“โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก ผู้บริหารโรงเรียน และครูต้องช่วยเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ปัญหาการกลั่นแกล้ง รวมถึงการล่วงละเมิด พร้อมบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข จัดเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กและนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา พร้อมส่งเสริมการสร้างบรรยากาศในโรงเรียนให้เกิดการเคารพในความแตกต่าง หลากหลายของคนในสังคม เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างมีความสุข สบายใจ และมีความปลอดภัย” นายชยพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้นายชยพงศ์ ย้ำว่า UNESCO เตือนแล้วว่า หากไม่เร่งแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือปี พ.ศ. 2573 โลกจะสูญเสียต้นทุนทางสังคมกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.94 แสนล้านบาทไทย จึงชี้ว่าไทยไม่อาจนิ่งเฉยได้ ต้องร่วมมือทุกภาคส่วนแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อรักษาโอกาสทางการศึกษาของเยาวชน

Theme images by fpm. Powered by Blogger.