Header Ads

ซื้อทองตอนนี้ดีมั๊ย! ราคาจะพุ่งถึงบาทละ 1 แสนบาทจริงหรือ ?

คอลัมน์ จับกระแสเศรษฐกิจ #เว็บไซต์โลกธุรกิจ #เผยแพร่ 5 ตุลาคม 2568

ราคาทองคำโลก (Spot) ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับ “สูงเป็นประวัติการณ์” โดยมีการปรับตัวขึ้นแรงในปีนี้ ทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง 

ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ความอ่อนค่าของดอลลาร์ ความคาดหวังว่า Fed จะผ่อนคลายนโยบาย (ปรับลดอัตราดอกเบี้ย) และแรงซื้อ–ถือครองจากธนาคารกลาง / สถาบัน /นักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ “หลบภัย” (safe-haven) 

ในตลาดไทย ราคาทองคำ (ทองคำแท่ง 96.5 %) ปัจจุบันอยู่ในราว 59,000 บาท/บาททอง (หรือใกล้เคียง) ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ (ราคาคร่าว ๆ) ซึ่งปัจจัยภายในประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท–ดอลลาร์ไทย, ค่าพรีเมียม / ค่าขนส่ง / ภาษี / ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในประเทศ ก็มีบทบาทสำคัญในการ “แปล” ราคาทองคำโลกให้เป็นราคาทองในไทย

ดังนั้น แนวโน้มในอนาคต จะเป็นผลจาก “ปัจจัยโลก × ปัจจัยในประเทศ × ความเสี่ยงเฉพาะตัว” รวมกัน

แนวโน้มในระยะสั้น 6 เดือนถึง 1 ปี

ปัจจัยบวกที่อาจผลักดันให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น มีดังนี้:

1.การผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐ / Fed ลดอัตราดอกเบี้ย

ถ้า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย (หรือส่งสัญญาณลด) ในอีกหลายครั้งในช่วง 6–12 เดือนข้างหน้า จะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือทอง (ซึ่งไม่มีดอกเบี้ย) และทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง  ส่งผลบวกต่อราคาทอง 

2.การอ่อนค่าของดอลลาร์ / ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก / ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

เมื่อดอลลาร์อ่อนลง ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่กำหนดราคาในดอลลาร์ มีโอกาสได้รับแรงหนุน ส่วนความไม่แน่นอน (วิกฤติการเงิน, หนี้สาธารณะ, ปัญหาการคลัง, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ) มักส่งให้ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ได้รับความนิยมมากขึ้น 

3.แรงซื้อจากธนาคารกลาง / สถาบัน / นักลงทุนรายใหญ่

มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางหลายประเทศจะเพิ่มถือครองทองคำ (เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์) ซึ่งช่วยหนุน demand พื้นฐานในระยะกลาง–ยาว 

4.เงินเฟ้อสูง / ความวิตกเรื่องเงินเฟ้อ

ถ้าเงินเฟ้อยังคงยืนอยู่ในระดับสูง นักลงทุนมักมองทองคำเป็น “เครื่องป้องกันเงินเฟ้อ” (inflation hedge) มากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยง /ข้อกดดันที่อาจฉุดราคาทองคำลง

1.นโยบายการเงินที่เข้มงวด / ดอกเบี้ยสูงกว่า/คงที่นานกว่าคาด

ถ้า Fed ไม่ลดดอกเบี้ย หรือกลับมาแข็งกร้าว ปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือลังเลในการลด ก็อาจทำให้ทองคำถูกกดดัน เพราะต้นทุนโอกาสในการถือทองสูงขึ้น

2.เศรษฐกิจแข็งแกร่ง / อัตราผลตอบแทนตราสาร /หุ้นกลับมาเป็นจุดลงทุนที่ดึงดูด

ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐหรือโลกกลับมาอยู่ในโหมดเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และดอกเบี้ยแทบไม่ต่ำ นักลงทุนอาจพลิกกลับไปลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนได้

3.แรงขายทำกำไร / ความอิ่มตัวทางเทคนิค

หลังจากการปรับตัวขึ้นแรงมาแล้ว อาจมีแรงขายทำกำไรออกมา และอาจมีการ “พักฐาน” หรือปรับฐานลงก่อน

4.สกุลเงินบาทแข็ง / การเคลื่อนไหวของค่าเงินในไทย

แม้ทองโลกอาจขึ้น แต่ถ้าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างเร็ว ก็อาจหักล้างผลบวกบางส่วนในราคาทองไทย

คาดการณ์ช่วงราคา (สมมติฐาน) ประเมินว่าในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า

ถ้าทุกปัจจัยบวก “เอื้อ” กันดี ราคาทองคำโลก (Spot) อาจขึ้นจากระดับปัจจุบัน (ราว ~ US$3,800/oz) ไปสู่ช่วง US$4,200 – US$4,500/oz เป็นกรณี “บูลิสต์สุดโต่ง” แต่กรณี “สมเหตุสมผล” น่าจะอยู่ในช่วง US$4,000 – US$4,300/oz

ในทางกลับกัน ถ้าเจอแรงกดดันหนัก (Fed ไม่ลดดอกเบี้ย, เศรษฐกิจแข็งแรง, ขายทำกำไร) ราคาทองคำโลกอาจปรับตัวลดลงกลับมาที่ US$3,400 – US$3,700/oz ได้

เมื่อแปลงเป็นราคาทองไทย

สมมติ:อัตราแลกเปลี่ยน USD/THB = 32 บาท (เปลี่ยนแปลงได้) มีค่าพรีเมียม / ค่าเบี้ย / ค่าขนส่ง / กำไรของผู้ค้า ฯลฯ ที่เพิ่มเข้ามา ความบริสุทธิ์ทองไทย (0.965) ถูกนำมาคำนวณ

ดังนั้น ถ้าทองโลกขึ้นถึง US$4,300/oz  บางกรณีทองไทยอาจแตะ  70,000 – 80,000 บาท/บาททอง ได้ (ขึ้นจากราว 59,000)

ถ้าราคาทองโลกปรับฐานลงเหลือ US$3,500/oz  ราคาทองไทยอาจลงมาแตะ  45,000 – 55,000 บาท/บาททอง ได้

แต่ ทองบาทละ 100,000 บาท อย่างที่หลายคนพูดกันตอนนี้ ค่อนข้าง “เกินจริง /ห่างไกล” สำหรับระยะ 1 ปี ถ้าราคาทองจะไปได้ถึงบาทละ 100,000 บาท ต้องมีปัจจัยช็อกใหญ่ (เช่น หนี้สหรัฐล้ม ระบบการเงินล่ม, ดอลลาร์สูญศูนย์ ฯลฯ) ถึงจะมีความเป็นไปได้ แม้มองในเชิงจินตนาการก็ไม่สมเหตุสมผลในกรอบเวลาที่ใกล้

ดังนั้น ถ้าจะตั้งกรอบ “แนวโน้มดีมาก” ไม่คาดว่าใน 1 ปีทองคำไทยจะขึ้นถึง 100,000 บาท/บาททอง  แต่การขึ้นไปแตะ 70,000–80,000 ก็อยู่ในขอบเขตที่พอเป็นไปได้ หากปัจจัยหนุนพร้อม โอากาสที่ราครทองจะไปถึงบาทละ 100,000 บาท ในกรอบเวลา 1 ปี ข้างหน้าจึงเป็นไปได้ต่ำมากต้องมีปัจจัย “ชนิดวิกฤต / ช็อกใหญ่” เกิดขึ้นพร้อมกัยหลายตัวจึงพอเป็นไปได้

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน “มือใหม่” ที่อยากนำเงินเก็บมาลงทุนในทองคำเพราะกลัวตกขบวน

เมื่อมองภาพรวมแล้ว ต่อไปคือข้อเสนอแนะแนวทางการลงทุนให้สมดุล ไม่ว่าจะสำหรับทองคำหรือสินทรัพย์อื่น ๆ

1.อย่าใส่ “หมดหน้าตัก”

ทองคำมีความผันผวนสูง  แม้โอกาสมีกำไรมาก แต่โอกาสขาดทุนหรือปรับฐานก็มากเช่นกัน ควรกระจายความเสี่ยง (diversification) ไปกับสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

2.ใช้การทยอยลงทุน (Dollar-cost Averaging)

แทนที่จะเข้าซื้อ “ก้อนใหญ่” ทั้งหมดในครั้งเดียว ควรทยอยซื้อเป็นงวด ๆ เมื่อราคาดี ลดความเสี่ยง “ซื้อตอนสูงสุด”

3.ตั้ง “จุดตัดขาดทุน / จุดทำกำไร”

ควรกำหนดล่วงหน้าเผื่อว่าถ้าทิศทางไม่เป็นไปตามคาด เราจะลดความเสียหาย (Stop Loss) และเมื่อถึงเป้าหมายก็ทยอยขาย (Take Profit)

4.รักษาความยืดหยุ่น /ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ปัจจัยที่มีผลต่อทองคำเปลี่ยนแปลงได้เร็ว (นโยบายการเงิน, ดอกเบี้ย, เศรษฐกิจ, ภูมิรัฐศาสตร์)  ต้องติดตามข้อมูลและพร้อมปรับกลยุทธ์

5.ทำความเข้าใจต้นทุนที่แฝงอยู่

เช่น ค่าพรีเมียม ค่าส่วนต่างซื้อ–ขาย ภาษี ค่าขนส่ง ฯลฯ เพราะแม้ราคาทองโลกจะดี แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสูง อาจกดดันผลตอบแทนสุทธิได้

กลยุทธ์ที่ต้องใช้

การถือไว้ระยะกลางถึงยาว (6–12 เดือน หรือมากกว่า) มากกว่าการเทรดระยะสั้น

การใช้ทองคำเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของพอร์ต (5–20 % ขึ้นกับความเสี่ยงที่รับได้)

อาจใช้กองทุน ETF ทองคำ / หุ้นเหมืองทองคำ (ถ้ามี) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดต้นทุนการถือครอง ในช่วงที่มีแรงวิ่งขึ้นชัดเจน อาจทยอยเพิ่มน้ำหนัก (แต่ไม่เกินขอบเขตที่ตั้ง)

โอกาสและความเสี่ยง

โอกาสกำไร: ถ้าปัจจัยบวกสนับสนุน ราคาทองคำขึ้นแรง  นักลงทุนอาจได้ผลตอบแทนสูง (อาจหลายสิบเปอร์เซ็นต์)

โอกาสขาดทุน: ถ้าปัจจัยขัดขวาง ดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจกลับมาแรง เงินทุนไหลออก ความเชื่อมั่นในทองลดลง นักลงทุนอาจขาดทุนหรือต้องขายตอนราคาปรับฐาน

ความเสี่ยงทางใจ /จิตวิทยา : เมื่อราคาขึ้นแรง บางคนอาจ “กลัวพลาด” เข้าเต็มหน้า หรือเมื่อราคลงแรง อาจขาดอารมณ์ควบคุมขายตัดขาดทุนเร็ว

บทสรุปและมุมมองเชิงกลยุทธ์

แนวโน้มระยะ 6 เดือน–1 ปี

มีโอกาสที่ราคาทองคำจะยังปรับตัวขึ้นได้ ถ้าปัจจัยสนับสนุนพร้อม  อาจแตะ US$4,000–4,300/oz หรือมากกว่านั้นในกรณีบูลิสต์เต็มรูปแบบ ในไทยอาจแตะ  70,000–80,000 บาท/บาททองได้ภายใต้เงื่อนไข แต่ก็มีโอกาสปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรกระจายการลงทุน ไม่ใส่ทั้งหมดในทองคำ ตั้งจุดตัดขาดทุน /ทำกำไร ใช้วิธีทยอยลงทุน และติดตามข่าวสารตลอดเวลา

Theme images by fpm. Powered by Blogger.