พม. เผยความสำเร็จงาน SDx 2025 เตรียมนำข้อเสนอแก้ปัญหา “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ต่อยอด ปรับนโยบาย พร้อมร่วมมือ “ทำทันที”
วันที่ 18 กันยายน 2568 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวสรุปภาพรวมและปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการ "วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ" อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม. ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤตดังกล่าว ณ ห้อง Ballroom Hall 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
นายอนุกูล กล่าวว่า ในนามกระทรวง พม. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภายในและระหว่างประเทศ ที่ร่วมจัดงาน Social Development Expo 2025 หรือ SDx 2025 ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยได้รับเกียรติจากสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยกว่า 30 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศและภาคีเครือข่ายกว่า 20 องค์กร รวมถึงผู้บริหารและผู้แทนจากภาครัฐ และภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งงานครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน ภายใต้แนวคิดการจัดงาน คือ “Demographic and Climate Crises” สะท้อนถึงความท้าทายจากวิกฤตซ้อนวิกฤต :โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ด้วยกิจกรรมสำคัญภายในงานที่มุ่งหวังในการยกระดับการพัฒนาสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤต ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ
สำหรับกิจกรรมในงานวันแรกนั้น มีการร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ หัวข้อ “Demographic and Climate Crises - Challenges and Opportunities” และหัวข้อ “Demographic and Climate Crises - Changing Future Together” ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางอย่างมาก ทั้ง เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคมโดยที่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจะต้องยึดหลัก "การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" ต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่ ปลอดภัย และครอบคลุมทุกกลุ่มคน พร้อมกับพัฒนานโยบายสู่ความเป็น “Climate-smart” มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง และบูรณาการเข้ากับระบบการคุ้มครองทางสังคม อาศัยความร่วมมือจากทุกระดับ ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงนานาชาติ ควบคู่ไปกับสร้างศักยภาพและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน รวมถึงกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมปิดท้ายในงานวันแรกด้วยการนำเสนอความคาดหวังจากเด็กอาเซียนใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
2. การพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติกับเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการอพยพโยกย้าย
3. การเข้าถึงสิทธิและการคุ้มครองเด็ก
ส่วนกิจกรรมในงานวันที่สอง นั้น มีการหารือในเชิงนโยบายคู่ขนานไปกับการประชุมในรูปแบบ World Café สำหรับการหารือในเชิงนโยบาย มุ่งเน้นเรื่องการบูรณาการนโยบายในมิติต่าง ๆ อาทิ การคุ้มครองทางสังคม , การใช้นวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยี , การจัดการด้านข้อมูลและการวิจัย , การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบเตือนภัย และที่ขาดไม่ได้ก็คือความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันเพื่อดูแลประชาชนในภูมิภาคนี้
ส่วนกิจกรรมในงานวันที่สอง นั้น มีการหารือในเชิงนโยบายคู่ขนานไปกับการประชุมในรูปแบบ World Café สำหรับการหารือในเชิงนโยบาย มุ่งเน้นเรื่องการบูรณาการนโยบายในมิติต่าง ๆ อาทิ การคุ้มครองทางสังคม , การใช้นวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยี , การจัดการด้านข้อมูลและการวิจัย , การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบเตือนภัย และที่ขาดไม่ได้ก็คือความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันเพื่อดูแลประชาชนในภูมิภาคนี้
ในขณะที่การประชุมในรูปแบบ World Café สะท้อนความเห็นและแนวทางในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงสถาบันการศึกษา องค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน โดยได้มีข้อเสนอแนะถึงความจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน, การสานสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ อันเนื่องมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้ครอบครัวเป็นสถาบันหลักของสังคม, การพัฒนาสังคมที่ส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและรู้เท่าทันเทคโนโลยีสำหรับทุกคน และท้ายที่สุด คือ การทำให้ประชาชนทุกกลุ่มตระหนักรู้ถึงความท้าทายที่เกิดขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้งานครั้งนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการ 5 โซน ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้
นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ มีเวทีแลกเปลี่ยน พร้อมข้อเสนอแนะจากทางเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศ โดยเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการบูรณาการร่วมกันกับภาครัฐ ภาคเอกชน, การดำเนินงานโดยคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี, การลงทุนพื้นฐาน โดยคำนึงถึงชุมชนหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยง, การพัฒนาเมืองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกลไกการบูรณาการโดยคำนึงถึงกฎหมายต่าง ๆ และที่สำคัญ ต้องให้เกิดความร่วมมือที่เรียกว่า "ทำทันที"
อย่างไรก็ตามการจัดงาน SDx 2025 ในปีนี้จบลงเรียบร้อยแล้ว กระทรวง พม. จะยังคงเตรียมขับเคลื่อนการจัดงาน SDx 2026 ต่อไป ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนที่จะสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับเรื่องสังคมและสวัสดิการ ที่ทุกภาคส่วนจะเข้ามามีส่วนร่วมและตระหนักถึงวิกฤตซ้อนวิกฤต สำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการจัดงานครั้งนี้ กระทรวง พม. จะต้องเร่งขับเคลื่อน และนำไปทบทวนก่อนนำเสนอให้รัฐบาล เพื่อกำหนดเป็นนโยบายร่วมกันต่อไป อีกทั้งจะนำไปสื่อสารให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ไปทบทวนและปรับนโยบาย รวมถึงนำไปสู่การปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
"หวังว่าการจัดงาน SDx 2025 ครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายให้กับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน และเป็นรากฐานการดำเนินการร่วมกัน เพื่อฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ซึ่งกระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกท่านจากใจที่ให้เกียรติร่วมงานครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย องค์การระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงสถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน สุดท้ายนี้ งานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจจาก "พม. หนึ่งเดียว" ของบุคลากรกระทรวง พม. ทุกคน" นายอนุกูล กล่าว