Header Ads

“ความนิยม”คือภาพหลอกตาทางการเมือง

#คอลัมน์จับกระแสการเมือง #ผู้เขียนนายนิรนาม  #เว็บไซต์โลกธุรกิจ เผยแพร่ 28 กันยายน 2568


ข้อมูลอ้างอิงที่ใช้ในการเขียนบทวิเคราะห์จาก: ผลสำรวจ นิด้าโพล (19–24 ก.ย. 2568) และ สวนดุสิตโพล (23–26 ก.ย. 2568) 

ภาพรวมเชิงสัญญาณ - แนวโน้มที่ปรากฏชัด

ทั้งสองสำนักสำรวจชี้สัญญาณสำคัญเหมือนกันคือ “ความไม่พอใจต่อรัฐบาลชุดก่อน” ผสานกับ “ความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่” (สวนดุสิตโพล: ดัชนีการเมืองพุ่งจาก 3.71 → 4.02) แต่ขณะเดียวกันอีกหลายตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ - ราคาสินค้า ค่าครองชีพ และการว่างงาน ยังเป็นแรงกดดันต่อคะแนนนิยมระยะยาว

นิด้าโพลแสดงให้เห็นว่าผู้ตอบสำรวจมีแนวโน้มจะมองหา/ให้การยอมรับบุคคลใหม่ในตำแหน่งผู้นำ (อันดับ 2–4 ของความนิยมเป็นผู้นำจากพรรคใหม่ ๆ และหลายคนเป็นตัวแทนพรรคที่เพิ่งขยับขึ้น) ขณะที่สัดส่วนที่ตอบว่า “ยังหาคน/พรรคที่เหมาะสมไม่ได้” อยู่ในระดับสูง (ผู้นำ: ร้อยละ 27.28 - พรรค: ร้อยละ 21.64)  นี่คือข้อเท็จจริงสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ยังไม่ตายตัว

ถ้าต้องเลือกตั้งภายใน 4 เดือน - พรรคใดมีโอกาสสูงสุดจะเป็นแกนนำจัดรัฐบาลใหม่ และเพราะเหตุใด

สรุปสั้น ๆ: ตามตัวเลขสำรวจในมือ พรรคประชาชน มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะได้ตำแหน่งพรรคแกนนำ เพราะเป็นอันดับ 1 ทั้งในคำถามเรื่องพรรคที่ประชาชนจะสนับสนุน (ร้อยละ 33.08) และมีผู้นำพรรค (นายณัฐพงษ์) ได้รับการยอมรับในระดับต้น ๆ (ร้อยละ 22.80 ในคำถามนายกฯ ที่ประชาชนสนับสนุน)

เหตุผลสำคัญ

ความได้เปรียบเชิงตัวเลข (Vote share lead): พรรคประชาชนนำห่างพรรคอื่น ๆ ในการสำรวจ ทั้งยังมีผู้นำพรรคที่เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในมโนภาพผู้เป็นนายกฯ - ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเห็นผู้นำชัดเจน

ปรากฏการณ์ “ผู้นำ-นโยบายจับต้องได้”: สวนดุสิตโพลชี้ว่ามาตรการแบบให้เงินหรือบรรเทาภาระปากท้อง (เช่น คนละครึ่งพลัส ที่ได้รับคะแนนชื่นชอบสูง) ยังคงเรียกคะแนนได้มาก - พรรคที่เสนอและสื่อสารนโยบายแบบนี้ได้ชัดเจนจะได้เปรียบ

ความเปราะบางของคู่แข่ง: พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย มีฐานคะแนนดีแต่ยังตามหลัง หลายพรรคยังมีคะแนนกระจัดกระจาย ทำให้การรวมเสียงต้องอาศัยการจับมือหลายกลุ่ม หากพรรคประชาชนได้ที่นั่งมากสุด ก็มีอำนาจต่อรองสูงในการชวนพรรคอื่นเข้าร่วม

แต่ต้องเตือนว่าการเป็น “พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด” ไม่เท่ากับการได้เป็นแกนนำเสมอไป ตัวแปรสำคัญคือการจัดแบ่งที่นั่งในระบบเลือกตั้งจริง (ส.ส. เขต / ปาร์ตี้ลิสต์), ความสามารถในการต่อรองกับพรรคขนาดกลาง และการยอมรับของแกนนำพรรคอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลจากโพลเป็นเพียงภาพตัดขวางของความนิยม ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง

สมมติฐานทางเลือก หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

หากพรรคประชาชนรักษาคะแนนนำ → มีโอกาสสูงสุดเป็นแกนนำ แต่ต้องสำรองพันธมิตร (เพื่อไทย/ภูมิใจไทย/รวมไทยสร้างชาติ/ประชาธิปัตย์ ฯลฯ) ขึ้นกับการเจรจานโยบายและตำแหน่ง

หากเกิดการรวมตัวของพรรคเดิม (เพื่อไทย + พันธมิตรเดิม) → แม้เพื่อไทยจะมีคะแนนตามหลังในโพล แต่การรวมเสียงแบบกลุ่มอาจทำให้สู้ได้ หากมีการรวมตัวหรือร้อยเรียงที่นั่งเขตดี

ความผันผวนสูงจากกลุ่ม “ยังหาไม่เจอ” (Undecided) หากกลุ่มนี้เทไปทางใดทางหนึ่งในช่วงสั้นๆ (ถูกชักจูงด้วยนโยบายเฉียบพลันหรือปัญหาปากท้อง) ผลอาจพลิกได้

บุคคล/พรรคแบบไหนที่ตรงใจประชาชนตอนนี้ (จากข้อมูลโพล)

ผู้นำที่เป็นภาพของการแก้ปัญหาปากท้องได้ชัดเจน  มาตรการที่กระทบเงินในกระเป๋าประชาชนโดยตรง (เช่น คนละครึ่งพลัส) ได้ผลด้านคะแนนสูง

ผู้นำที่ดูมีความสามารถบริหารจัดการได้จริงและสื่อสารชัดเจน 

ประชาชนกำลังมองหา “คนทำงาน” มากกว่าแค่คำสัญญาทางอุดมการณ์

พรรคที่มีเครือข่ายท้องถิ่นและกลยุทธ์ลงพื้นที่  ฐานเสียงในต่างจังหวัดยังสำคัญ การมีตัวแทนที่เข้าถึงชุมชนได้ช่วยแปลงความนิยมเป็นที่นั่งได้จริง

ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมทางจริยธรรม ถึงแม้ตัวเลขยังแสดงความไม่พอใจในบางด้าน แต่ผู้ที่ยังรักษาภาพลักษณ์สะอาด จะได้เปรียบเมื่อต้องต่อรองพันธมิตร

ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์สำหรับพรรคการเมือง (หากต้องการชนะหรือเป็นแกนนำ)

โฟกัสมาตรการปากท้องที่ชัดเจนและมีกรอบงบประมาณสั้น - กลาง เพื่อแสดงว่ามาตรการนั้น “ทำได้จริง”

ออกแบบการสื่อสารสำหรับกลุ่ม Undecided - ข้อความที่เรียบง่าย ชัดเจน และตอบโจทย์ปัญหาชีวิตประจำวันมีพลังมากตอนนี้

เตรียมข้อต่อรองพันธมิตรเชิงปฏิบัติการ มากกว่าคำสัญญาระยะยาว - พรรคขนาดกลาง/เล็กจะเป็นกุญแจในสมการจัดตั้งรัฐบาล

รักษาภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ- คดีหรือข่าวฉาวจะถูกลงโทษคะแนนเร็วกว่ามาตรการเชิงนโยบายในระยะสั้น

ข้อควรระวัง

โพลเป็น "ภาพตัดขวางเวลา"  ตัวเลขวันนี้ไม่ได้เท่ากับผลเลือกตั้งจริงเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อยังมีสัดส่วนผู้ตอบที่ยังไม่แน่ใจสูง

ปัจจัยที่อาจพลิกเกมได้ใน 4 เดือนข้างหน้า: เหตุการณ์เศรษฐกิจเฉียบพลัน (ราคาสินค้า/พลังงาน), ประเด็นความมั่นคง/เหตุฉุกเฉิน, หรือการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของพรรคใหญ่-กลาง

หากยุบสภาใน 4 เดือน ตามข้อมูลนิด้าโพลและสภาพดัชนีจากสวนดุสิต โอกาสสูงสุดที่พรรคจะได้เป็นแกนนำคือ พรรคประชาชน (ด้วยเหตุผลด้านคะแนนนำและความเด่นของผู้นำ) 

แต่การได้บริหารจริงขึ้นกับทักษะการต่อรองสร้างพันธมิตร และความสามารถในการแปลงคะแนนนิยมเป็นที่นั่งตามระบบเลือกตั้งจริง

หมายเหตุ : ดูรายละเอียดผลการสำรวจของนิด้าโพลได้ที่ https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=771 และดูรายละเอียดผลการสำรวของสวนดุสิตโพลได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=122184127610500486&set=a.122102896334500486

Theme images by fpm. Powered by Blogger.