Header Ads

เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดัน ส่งออกหดตัว 11.7% ค่าเงินอ่อน กดดันต้นทุนธุรกิจ


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

เศรษฐกิจไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาภายใต้แรงกดดัน : “คนละครึ่ง” คึกคัก แต่ส่งออก-ค่าเงิน-น้ำมันยังน่าห่วง

เศรษฐกิจไทยในช่วงกลางเดือนกันยายน 2568 ยังคงสะท้อนภาพ “สองด้าน” ที่สวนทางกันอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง” ยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม ล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์มากกว่า 3.43 ล้านคน สะท้อนว่าครัวเรือนจำนวนไม่น้อยยังมองหาช่องทางลดภาระค่าครองชีพและพร้อมใช้จ่ายหากมีแรงสนับสนุนจากภาครัฐ

แต่อีกด้านหนึ่ง เศรษฐกิจมหภาคกลับยังมีแรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะการส่งออกที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดการณ์ ขณะที่ค่าเงินบาทและราคาน้ำมันยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค

ส่งออกไทยเดือนสิงหาคมวูบ 11.7%

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีการค้ารวมเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลดลง 11.73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อในตลาดโลก ความผันผวนด้านเศรษฐกิจคู่ค้า และราคาสินค้าเกษตรบางชนิดที่ปรับลดลง

แม้ผลผลิตอุตสาหกรรมภายในประเทศจะยังขยายตัวในบางกลุ่ม เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกไทย

อุตสาหกรรมดิจิทัลยังพอมีแสงสว่าง

ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เปิดเผยการประเมินว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี ได้แก่ ซอฟต์แวร์ บริการดิจิทัลด้านสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI และ Big Data ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

เงินบาทอ่อน – น้ำมันแพง กดดันต้นทุน

ในตลาดการเงิน ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 31.73 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญมาจากความกังวลเศรษฐกิจโลกและทิศทางการลงทุนที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่

พร้อมกันนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก (WTI) ปิดล่าสุดอยู่ที่ 68.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงเล็กน้อย 0.02% แต่ยังคงเป็นระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ทำให้ต้นทุนพลังงานของภาคธุรกิจและค่าครองชีพของประชาชนยังคงสูง

เศรษฐกิจโลกยังไร้เสถียรภาพ

        ปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจไทย

สหรัฐอเมริกา : ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จุด มาอยู่ที่ 4.00–4.25% เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคการผลิตยังขยายตัวเล็กน้อย (0.2%) และการจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง

สหภาพยุโรป : เงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 2.0% แม้ชะลอตัวลงแต่ยังเป็นแรงกดดันต่อภาคธุรกิจและประชาชน

ญี่ปุ่น : เศรษฐกิจยังชะลอตัว เงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.7% ต่ำสุดในรอบเกือบหนึ่งปี สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรง

จับตาสัปดาห์หน้า : PMI – GDP สหรัฐฯ

สำหรับช่วงวันที่ 22–26 กันยายน 2568 ตลาดการเงินและภาคธุรกิจจับตาปัจจัยสำคัญ ได้แก่

สหรัฐอเมริกา : ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการเดือนกันยายน รวมถึงการประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ที่จะสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่แท้จริง

ยุโรปและญี่ปุ่น : การประกาศดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจโลกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ราคาน้ำมันโลก : การประชุม OPEC+ และท่าทีเกี่ยวกับมาตรการควบคุมอุปทาน อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดพลังงาน

บทสรุป

เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นยังคง “พึ่งแรงกระตุ้นภาครัฐ” เป็นหลัก โดยเฉพาะมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่ช่วยหนุนกำลังซื้อประชาชนและพยุงเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่แรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งการส่งออกที่หดตัว ค่าเงินอ่อน และราคาน้ำมันที่ยังสูง ยังคงเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับครึ่งปีหลัง 2568

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องอาศัยมาตรการเสริมเพื่อรักษาเสถียรภาพ ขณะเดียวกันควรเร่งลงทุนในภาคเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อลดการพึ่งพาภาคการส่งออกแบบเดิม

----------------------

ที่มา : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

Theme images by fpm. Powered by Blogger.