“ชินวัตร” และ “เพื่อไทย” จะมีสถานะอย่างไรในการเมืองไทยหลังจากนี้
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง..โดย สมศักดิ์ ไม้พรต.. เว็บไซต์ โลกธุรกิจ.. เผยแพร่ 31 สิงหาคม 2568
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของการเมืองไทยรอบใหม่
ไม่ใช่เพียงเพราะสูญเสียผู้นำรัฐบาล แต่ยังกระทบต่อความต่อเนื่องของอำนาจตระกูลชินวัตรในการเมืองไทย ที่สืบทอดยาวนานมายาวนานนับแต่ก่อกำเนิดพรรคไทยรักไทยเมื่อ วันที่ 14 กรกฎาคม 2541
หากดูจากสถานะของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ยังต้องลุ้นคดีชั้น 14 ที่ศาลมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษา วันที่ 9 กันยายน 2568 ก็ดูเหมือนจะสูญเสียอำนาจการควบคุมภายในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าวันนั้นคำตัดสินออกมาเป็นลบต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำ
พรรคเพื่อไทยก็คงอยู่ในสภาพแพแตก
ดังนั้นก่อนที่แพจะแตกจึงมีความเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องโหวตเลือกคนของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้เสียก่อน
ทำให้เราได้เห็นวาระเร่งด่วนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศขยายวันประชุม เป็นวันพุธที่ 3 กันยายน - วันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 เพื่อเปิดช่องไว้ให้ประชุมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ทั้งที่ปกติสภาจะประชุมกันแค่สัปดาห์ละ 2 วัน คือทุกวันพุธและวันพฤหัสบดีเท่านั้น
เมื่อผลของวันที่ 9 กันยายน ยังลูกผีลูกคนไม่รู้ว่าจะออกมาทางไหน จึงต้องเร่งตัดจบเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ก่อน เพราะชั่วโมงนี้มั่นใจอะไรไม่ได้
เหมือนที่อดีตนายกฯแพทองธาร เคยมั่นใจถึงขนาดไปรอแถลงเดินหน้าทำงานต่อที่ทำเนียบรัฐบาลเพราะมั่นใจว่าอย่างไรก็รอด แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้าม จนต้องเปลี่ยนจากแถลงเดินหน้าทำงานต่อในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัวมาเป็นแถลงอำลาสั้นๆ ก่อนเก็บข้าวของพ้นทำเนียบรัฐบาลไป
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ก่อนวันที่ 9 กันยายน 2568 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าปล่อยเวลาล่วงเลยไปแล้วผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทยต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำทุกอย่างจะยิ่งไปกันใหญ่ จะเกินการควบคุม
พรรคเพื่อไทยอาจจะแตกตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะขนาดยังไม่รู้ผลวันที่วันที่ 9 กันยายน 2568 ก็มีส.ส.ของพรรคบางส่วนไปร่วมแถลงเปิดตัวโหวตสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
ถ้าทอดเวลาไปโหวตเลือกนายกฯหลัง วันที่ 9 กันยายน 2568 แล้วนายใหญ่เกิดเปลี่ยนที่นอนถึงตอนนั้นคงดูไม่จืด
ณ เวลานี้ จึงเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรคเพื่อไทยอย่างแท้จริง
หากเดินหมากผิด แก้เกมไม่ดี หลายกลุ่มหลายก๊วนพร้อมชิ่งทิ้งพรรคได้ตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายกรรมหลายวาระ เพราะคนพวกนี้มีอุดมการณ์การเมืองชัดเจนคือฝ่ายไหนได้เปรียบจะอยู่ฝ่ายนั้น ขอแค่ได้ร่วมรัฐบาล ได้เป็นรัฐมนตรีก็พอ
อำนาจของ “ตระกูลชินวัตร” จึงถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากการเมืองภายนอกพรรคและการเมืองภายในพรรค ทำให้เริ่มมีคำถามว่า “ตระกูลชินวัตร” จะยืนระยะทางการเมืองไปได้อีกนานแค่ไหน
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากถึงยากมากที่ “ตระกูลชินวัตร” จะกลับมาเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองที่ใครๆก็ต้องวิ่งเข้าหาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าพรรคพื่อไทยไม่มี “ตระกูลชินวัตร” ก็คงเป็นแปลงสภาพไปเป็นพรรคการเมืองระดับกลาง ถึงเล็ก จากพรรคการเมืองที่มีเสียงส.ส.ในสภาเป็นอันดับ 1 หรือ 2 มาตลอด จะไหลไปเป็นพรรคอันดับ 3 หรือ 4 และอาจไหลลึกถึงอันดับ 5 ก็เป็นได้
เวลาก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนอดีตนายกฯแพทองธาร จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะชี้ชะตา ทั้งชะตาของ “ตระกูลชินวัตร” และชะตาพรรคเพื่อไทย