ไม่รอด! มติ 6:3 ศาล รธน. สั่ง “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้นายกฯ
การประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 29 สิงหาคม 2568 มีวาระสำคัญที่ประชาชนเฝ้าติดตามคือการนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีที่ประธานวุฒิสภา (สว.) ส่งคำร้องของ สว. 36 คน ที่เข้าชื่อกันเสนอให้ศาลฯพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีปรากฎคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลอยู้ในสภาวะวิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูถุสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) เสียงข้างมากคือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ ทะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียง คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 เสียง คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถกร้องหยุดปฏิบัฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป
ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย
ด้านนางสาวแพทองธาร แถลงหลังรู้ผลการตัดสินของศาลฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ด้วยความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมขอน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในฐานะคนไทยคนหนึ่งของยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ความตั้งใจอย่างแท้จริงที่ตั้งใจจะทำเพื่อประเทศตลอดมา บทสนทนาที่เป็นคลิปเสียงออกไปไม่ได้ขออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเลย อยากจะบอกประชาชนอีกครั้งว่าสิ่งที่ยึดมั่นเสมอคือชีวิตของประชาชนไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือน มีความตั้งใจจริงๆว่าจะทำอย่างไรที่จะรักษาชีวิตเหล่านั้นไว้ให้ได้ ซึ่งคลิปเสียงก็เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะที่รุนแรง
"คำตัดสินของศาลฯในวันนี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลัน ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล ประชาชน ต้องรวมใจกันเพื่อช่วยกันสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับมาเข้มแข็งให้ได้ ไม่ให้มีจุดเปลี่ยนอย่างฉับพลันเกิดขึ้นอีก ต้องขอขอบคุณประชาชนที่ให้โอกาสทำงานมาเกือบ 1 ปี เต็ม ส่วนตัวดีใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้นำประสบการณ์ นำความตั้งใจมาทำให้ประเทศของเราก้าวหน้า เชื่อว่ารัฐบาลต่อจากนี้จะนำโอกาสกลับมาให้ประชาชนให้ได้เพราะการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สุดหัวใจเท่าที่คนไทยคนหนึ่งจะทำได้ขอยืนยันเรื่องนี้ตลอดไป ขอขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณคณะรัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกันมา ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ ให้ประสบการณ์ ทำให้ได้รู้ข้อดีข้อเสียของตัวเองซึ่งพร้อมจะพัฒนาต่อไป อะไรที่จะช่วยทำให้ประเทศดีขึ้นได้ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ยินดีที่จะทำ ต่อจากนี้ขอส่งกำลังใจให้ทีมบริหารทุกท่านได้พัฒนาประเทศต่อไป จะคอยติดตามอย่างใกล้ชิดและจะขอเป็นพลังที่ดีให้ประเทศชาติต่อไป ขอบพระคุณค่ะ" นางสาวแพทองธาร กล่าว