ตั้ง รมช.กลาโหมคุมทีมเฉพาะกิจแก้ปัญหาชายแดนเขมร
วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวของและผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุมที่บานพิษณุโลกเพื่อติดตามปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) ครั้งล่าสุด ที่จบลงไปนั้น ถือว่ามีความก้าวหน้าในการสร้างความเข้าใจระหว่างสองประเทศจากนี้ จะมีการจัดตั้ง“คณะทำงานเฉพาะกิจ” เป็นทีมประเทศไทย โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบในการติดตามและประสานงานด้านข่าวสารและความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ประเทศไทยยืนยันไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก รวมถึงการดำเนินการในกรณีที่อยู่นอกกรอบทวิภาคีที่ได้ตกลงกันไว้ โดยรัฐบาลได้เตรียมทีมกฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไว้อย่างรอบด้านแล้ว
ส่วนการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าประเทศไทย ไม่ได้ปิดด่านแต่อย่างใด ยังคงเปิดให้บริการอยู่แต่เป็นการปรับเวลาเปิดและปิดให้เหมาะสม กับสถานการณ์ด้านความมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จากฝั่งกัมพูชา ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้แจ้งไปยังฝ่ายกัมพูชาว่า จะขอหารือในระดับกองทัพ เพื่อให้การบริหารจัดการ ด่านชายแดนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและลดผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีแสดงความกังวลต่อการสื่อสารของฝ่ายกัมพูชา ที่บางส่วนสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ที่อยู่นอกกรอบความตกลงระหว่างประเทศ โดยเห็นว่าการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ผ่านการหารือร่วมกัน อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย พร้อมย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อยของชุมชน และรัฐบาลไทยยืนยันว่า การหารือระหว่างไทย-กัมพูชา จะดำเนินต่อไปภายใต้กรอบ JBC และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) โดยมีการจัดทำบันทึกอย่างเป็นทางการทุกขั้นตอน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ในระดับสากล และกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญคณะทูตานุทูตต่างประเทศในประเทศไทย มารับฟังคำชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ถึงท่าทีของประเทศไทยที่ยึดมั่นในหลักการเจรจาระหว่างประเทศและกฎหมายสากล
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลและกองทัพไทยมีจุดยืนร่วมกันในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการเผชิญหน้าทางทหาร พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจในความแข็งแกร่งของประเทศไทยในฐานะรัฐเอกราชที่มีศักดิ์ศรี และขอให้ทุกฝ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลและกองทัพเพื่อรักษาสันติภาพและผลประโยชน์ของชาติอย่างยั่งยืน
ด้านกระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ท่าทีไทยต่อการยื่นหนังสือโดยกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)เกี่ยวกับพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย มีเนื้อหาระบุว่า
ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นท่าทีเดียวกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอีก 118 ประเทศ
ประเทศไทยยืนยันความยึดมั่นอย่างแน่วแน่ต่อการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ ตามกฎบัตรสหประชาชาติและหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การที่ไทยตัดสินใจไม่ยอมรับอำนาจของ ICJ สะท้อนท่าทีของไทยที่ได้พิจารณาแล้วว่า การใช้แนวทางใดๆ เพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างระหว่างรัฐ จะต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของเรื่องนั้น ๆ ลักษณะของสถานการณ์ และนัยต่ออธิปไตยของประเทศ
ประเทศไทยมีความเห็นว่า การนำเรื่องไปสู่ฝ่ายที่สาม อาจมิใช่หนทางที่ดีที่สุดที่จะรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรัฐไว้ได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นละเอียดอ่อน ที่มีมิติทางประวัติศาสตร์ ดินแดน และการเมืองที่ซับซ้อน ดังนั้น ไทยจึงสนับสนุนแนวทางแก้ไขความเห็นที่แตกต่างระหว่างรัฐที่มีความยืดหยุ่น เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แต่ละรัฐสามารถหารือกันอย่างสร้างสรรค์โดยเป็นไปตามสภาวการณ์ในเรื่องนั้น ๆ และผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังที่ได้ระบุไว้ในหลาย ๆ โอกาส ประเทศไทยขอยืนยันท่าทีที่ว่า ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเขตแดนในปัจจุบัน ควรที่จะได้รับการแก้ไขตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งรวมไปถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ตลอดจนเวทีทวิภาคีอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าเสียใจว่า แม้ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ทั้งในระดับผู้นำและระดับประชาชน ประเทศไทยไม่เคยได้รับการติดต่อจากฝ่ายกัมพูชาเพื่อหารือหรือพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ในการนำข้อพิพาทในพื้นที่ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อยุติความเห็นที่แตกต่างกัน
---------------------
ที่มา : รัฐบาลไทย และ กระทรวงการต่างประเทศ