การศึกษาในมหาวิทยาลัย ตอบโจทย์อนาคตประเทศ หรือไม่?
คอลัมน์จับกระแสการเมือง..โดย นายนิรนาม..เว็บไซต์โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 6 พฤษภาคม 2568
ผลสำรวจล่าสุดโดย "สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน" ร่วมกับ "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยความเห็นของประชาชนที่น่าสนใจต่อบทบาทและภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไทยในยุคปัจจุบัน จากการสำรวจประชาชน 1,180 คน ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2568 พบว่าประชาชนยังมีความเชื่อมั่นสูงใน การจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยไทย (ร้อยละ 81.39) และชื่นชม หลักสูตรที่มีความหลากหลาย (ร้อยละ 75.21) ซึ่งถือเป็น "จุดแข็ง" สำคัญของการศึกษาไทยในระดับอุดมศึกษา
จุดเด่น: หลักสูตรหลากหลายและการจัดการเรียนการสอนที่เข้มแข็ง
การที่มหาวิทยาลัยไทยสามารถออกแบบหลักสูตรที่หลากหลาย ตอบสนองความสนใจและทักษะที่แตกต่างกันของผู้เรียน เป็นพัฒนาการที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ที่ต้องการ "ความเฉพาะทาง" และ "ความยืดหยุ่น" ในทักษะอาชีพ ช่วยให้บัณฑิตไทยมีโอกาสมากขึ้นในตลาดแรงงานที่หลากหลาย ตั้งแต่ภาคเทคโนโลยี นวัตกรรม ไปจนถึงสังคมสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะท้อนควบคู่จากผลโพล คือข้อกังวลเกี่ยวกับ "การสอนที่เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติจริง" (ร้อยละ 66.38) ซึ่งกลายเป็น "จุดอ่อน" ที่ฉุดรั้งศักยภาพของบัณฑิตไม่ให้พร้อมทำงานจริงอย่างที่ตลาดแรงงานต้องการ
ตอบโจทย์เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนาคตหรือไม่?
การที่ประชาชนคาดหวังให้มหาวิทยาลัยไทย "ผลิตบัณฑิตคุณภาพสูงและพร้อมทำงาน" (ร้อยละ 74.41) สะท้อนถึงการขานรับกับความต้องการของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะความรู้ที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่ปริญญาบัตร การมุ่งเน้นการวิจัยที่ "ใช้ได้จริงและสร้างรายได้จริง" (ร้อยละ 28.17) ก็ชี้ว่าประชาชนเห็นบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะ "ผู้สร้างนวัตกรรม" และ "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy)" อย่างแท้จริง
ในเชิงสังคม บทบาทของมหาวิทยาลัยในการเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชุมชน ผ่านแนวคิด University Social Responsibility (USR) และ Service Learning ตามข้อเสนอของ รองศาสตราจารย์ ดร.ชนะศึก นิชานนท์ เป็นแนวทางสำคัญที่จะสร้างสังคมที่เข้มแข็ง ชุมชนที่พึ่งตนเองได้ และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ส่วนในด้านการเมือง มหาวิทยาลัยไทยยังเป็นศูนย์กลางการปลูกฝังพลเมืองที่มีวิจารณญาณ มีความคิดเชิงวิเคราะห์ และเคารพความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
มหาวิทยาลัยไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยน
คะแนนความเชื่อมั่น 7.35 จาก 10 คะแนน สะท้อนว่าประชาชนยังมองว่ามหาวิทยาลัยไทยมีบทบาทสำคัญ แต่อยู่ท่ามกลางความคาดหวังที่สูงขึ้น อนาคตของการศึกษาระดับอุดมศึกษาไทยจึงไม่ได้อยู่ที่การ "ผลิตบัณฑิตจำนวนมาก" แต่คือการ "ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการ" พร้อมกับ "สร้างงานวิจัยที่ตอบโจทย์และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง"
มหาวิทยาลัยไทยต้องกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก "สถาบันแห่งความรู้" ไปเป็น "แหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวา" (One World Library) ที่ทุกคนสามารถเข้าถึง และทุกความรู้สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตจริง เพื่อสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เข้มแข็งในอนาคต
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และตัวมหาวิทยาลัยเอง ที่ต้องกล้ายกระดับตนเองจากเวทีในประเทศสู่เวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: ยกระดับมหาวิทยาลัยไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคม และเสริมสร้างศักยภาพมหาวิทยาลัยไทยให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในยุคใหม่ จำเป็นต้องมีการออกแบบนโยบายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนี้
1. ปฏิรูปโครงสร้างการจัดการการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ส่งเสริมความเป็นอิสระทางวิชาการ (Autonomy): ให้มหาวิทยาลัยมีอิสระในการบริหารจัดการ หลักสูตร การวิจัย และการเงิน เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและความต้องการของตลาดแรงงาน
ตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรแห่งชาติแบบมีส่วนร่วม: ประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการออกแบบและประเมินผลหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการจริงในภาคเศรษฐกิจและสังคม
2. ส่งเสริมการเรียนการสอนเชิงปฏิบัติจริง (Practice-based Learning)
บังคับใช้มาตรฐานหลักสูตรที่เน้นสัดส่วนการฝึกปฏิบัติ: เช่น อย่างน้อย 30% ของเวลาเรียนในสาขาวิชาชีพต้องมีกิจกรรมปฏิบัติจริง โครงงาน หรือฝึกงานภาคสนาม
ตั้งกองทุนสนับสนุนการสร้างห้องปฏิบัติการนวัตกรรม (Innovation Labs) ในมหาวิทยาลัย เพื่อเสริมทักษะการสร้างนวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาจริงของนักศึกษา
3. ปฏิรูประบบวิจัย: จาก "ตีพิมพ์" สู่ "ใช้ได้จริง"
สนับสนุนการวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ (Applied Research) ผ่านงบประมาณวิจัยที่มีเงื่อนไขต้องเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม
เชื่อมโยงการวิจัยกับภาคเอกชนและชุมชน ผ่านกลไกความร่วมมือเชิงพาณิชย์ (Research Commercialization) และโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบ
4. เสริมบทบาทมหาวิทยาลัยในฐานะ "ศูนย์กลางการพัฒนาชุมชน"
ผลักดันนโยบาย University Social Responsibility (USR) ให้เป็นภารกิจหลักของมหาวิทยาลัย โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการบริหารงาน
สร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัย-ชุมชน (Community University Networks) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านเศรษฐกิจพอเพียง การศึกษา และสุขภาพ
5. พัฒนาทักษะบุคลากรสายอาจารย์และสายวิชาการ
สนับสนุนการอบรมทักษะการสอนแบบใหม่ เช่น การสอนเชิง Active Learning, Problem-based Learning, Digital Pedagogy
กำหนดเส้นทางความก้าวหน้า (Career Path) สำหรับอาจารย์นักวิจัย ที่เน้นผลงานที่นำไปใช้ได้จริง แทนการประเมินด้วยจำนวนบทความตีพิมพ์เพียงอย่างเดียว
หากนโยบายเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง มหาวิทยาลัยไทยจะสามารถยกระดับตนเองจากสถาบันผลิตบัณฑิตทั่วไป ไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างนวัตกรรม พัฒนาทุนมนุษย์ และขับเคลื่อนสังคมไทยสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตได้อย่างแท้จริง