Header Ads

กาลครั้งหนึ่ง..ไม่นานเท่าไหร่..พูดได้ ทำเป็น จริงหรือ?

คอลัมน์จับกระแสการเมือง..โดย นายนิรนาม..เว็บไซต์โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 1 พฤษภาคม 2568

การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอนโยบาย "ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570" เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการหาเสียง โดยประกาศว่าจะเริ่มทยอยปรับขึ้นทันทีหากได้เป็นรัฐบาล 

        นโยบายนี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้แรงงานและกลุ่มฐานเสียงสำคัญ อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และผ่านพ้นมาแล้วกว่า 2 ปี พรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมและความน่าเชื่อถือของพรรคอย่างมีนัยสำคัญ

การหาเสียงโดยไม่ประเมินความเป็นไปได้อย่างรอบคอบ

การนำเสนอนโยบายค่าแรงที่สูงขึ้นอย่างมากในระยะเวลาสั้นๆ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ช่วงหาเสียงว่าขาดการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ของภาวะเงินเฟ้อ, ศักยภาพของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้ได้ ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์เรื่อง "การหาเสียงด้วยวาทกรรม" มากกว่าความสามารถในการบริหารจริง

ข้อจำกัดจากการไม่คุมกระทรวงแรงงาน

พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลเลือกที่จะมอบกระทรวงแรงงานให้พรรคภูมิใจไทยดูแล ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญนี้ถูกจำกัดด้วยความแตกต่างด้านนโยบายและความสนใจทางการเมือง กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของคนภูมิใจไทยไม่ได้ผลักดันนโยบายค่าแรง 600 บาทอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลด้านผลกระทบต่อภาคเอกชน จึงทำให้เพื่อไทยขาดเครื่องมือในการผลักดันนโยบายหาเสียงของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

ความคาดหวังและแรงกดดันทางสังคม

เมื่อพรรคเพื่อไทยเองเป็นผู้จุดประกายความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรง การที่ไม่สามารถทำได้ตามสัญญา จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจและความผิดหวังในหมู่ฐานเสียงที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานและผู้มีรายได้น้อยที่เป็นฐานเสียงหลักดั้งเดิมของพรรค

คะแนนนิยมที่ลดลงในกลุ่มฐานเสียงเดิม

การที่นโยบายเรือธงไม่สัมฤทธิ์ผล ทำให้กลุ่มแรงงานและประชาชนระดับล่างที่เคยเชื่อมั่นในเพื่อไทยเริ่มมีความลังเล และอาจเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นที่นำเสนอนโยบายใกล้เคียงกันแย่งชิงฐานเสียงนี้ได้ในอนาคต

ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือเสียหาย

ความล้มเหลวในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญยิ่งตอกย้ำข้อครหาเรื่อง "หาเสียงเกินจริง" และ "ขาดภาวะผู้นำ" โดยเฉพาะในบริบทที่พรรคเพื่อไทยเคยถูกตั้งคำถามมาก่อนในเรื่องความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ

แรงเสียดทานภายในรัฐบาลผสม

ความล้มเหลวในการผลักดันนโยบายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพรรค อาจทำให้เกิดแรงเสียดทานระหว่างพรรคแกนนำและพรรคแนวร่วม เช่น พรรคภูมิใจไทยในฐานะผู้คุมกระทรวงแรงงาน ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ความเปราะบางทางการเมืองของรัฐบาล

บทสรุป

การที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถดำเนินนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามที่หาเสียงไว้ได้ ถือเป็นความผิดพลาดที่มีผลกระทบทั้งต่อคะแนนนิยมและความน่าเชื่อถือในระยะกลางถึงระยะยาว โดยแม้ว่าจะมีข้อจำกัดจากโครงสร้างรัฐบาลผสม แต่การวางนโยบายที่ขาดความเป็นจริงและไม่สามารถควบคุมกลไกสำคัญได้ ทำให้พรรคต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากทั้งประชาชนและพรรคแนวร่วม 

        หากพรรคเพื่อไทยต้องการกู้ภาพลักษณ์กลับมา จำเป็นต้องรีบเสนอทางออกที่จับต้องได้ พร้อมสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบเชิงนโยบายอย่างจริงจัง

Theme images by fpm. Powered by Blogger.