โรงพยาบาลอาร์เอสยู อินเตอร์เนชั่นเนล ลงนาม บ. พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) เปิดตัว VISTA NEO MED โรงพยาบาลวิถีใหม่สำหรับอนาคต
โรงพยาบาล อาร์เอสยู อินเตอร์เนชั่นเนล ได้จัดพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างหลักกับบริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) และสัญญาว่าจ้างระบบสัญจรแนวดิ่งกับบริษัท โคเน่ จำกัด (มหาชน) ในวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ณ มหาวิทยาลัยรังสิต โดย ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานกรรมการ และคุณอภิวัฒิ อุไรรัตน์ พร้อมทั้งคณะผู้บริหารของแต่ละองค์กร
ภายในงานจัดให้มีพิธีลงนามสัญญา และนำเสนอแนวคิด VISTA NEO MED โรงพยาบาลวิถีใหม่สำหรับอนาคต โดย ดร.เกชา ธีระโกเมน ระบุว่า โรงพยาบาล อาร์เอสยู อินเตอร์เนชั่นเนล เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ดูแลผู้ป่วยด้วยการสร้างคุณภาพสภาพแวดล้อมภายในอาคาร Indoor Environmental Quality (IEQ) ที่เหนือกว่าข้อกำหนดตามมาตรฐานเพื่อการบำบัด ฟื้นฟูสุขภาพ และสุขภาพที่ดี เป็นการออกแบบอาคารอัจฉริยะที่เลียนแบบร่างกายมนุษย์ที่เป็นรูปแบบอุดมคติของโรงพยาบาล วางทิศอาคารอย่างถูกต้อง และวางแกนอาคารเป็น 2 แกนที่สนับสนุนกัน มีระบบบริการที่สำรองเป็น 2 ระบบ วางอุปกรณ์ที่มีเสียงและการสั่นสะเทือนไว้ที่อาคารจอดรถแยกออกอาคารหลัก ทิศทางการนำอากาศเข้า ออกอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม แยกพื้นที่และทางเดินการซ่อมบำรุงออกจากพื้นที่บริการทางการแพทย์ มีเพดานสูงเพื่อลดลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคในระดับการหายใจ
นอกจากการออกแบบเพื่อให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐานโรงพยาบาลสากล JCI, AACI และ ANSI/ASHRAE/ASHE 170-2021: Ventilation of Health Care Facilities Standard ที่เป็นมาตรฐานขั้นสูงโรงพยาบาล RIH ยังออกแบบด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยดด้านต่าง ๆ “After COVID 19 Design” ดังนี้
1. นวัตกรรมการปรับอากาศและระบายอากาศ
นอกจากการออกแบบให้มีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิ
ความชื้น ความสบาย และการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง
ช่วยป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค และรักษาความสะอาดของอากาศ
เสริมด้วยนวัตกรรมการปรับอากาศและระบายอากาศแบบเฉพาะห้อง (Localized
Target Air-conditioning) เพื่อป้องกันการแพร่ข้ามของเชื้อโรคระหว่างห้อง
ภายในห้องควบคุมทิศทางการไหลของอากาศ ควบคุมความดันของห้อง
ปลอดระบบท่อลมและการสะสมเชื้อรา และฆ่าเชื้อโรคในอากาศด้วยแสง UV สำหรับห้องตรวจ, ICU เป็นต้น ห้องเพดานสูงช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในอากาศและความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคทางอากาศ
ระบบการปรับอากาศของห้องพักผู้ป่วย
เป็นแบบควบคุมทิศทางการไหลของอากาศจากหน้าห้องไปยังหลังห้องเพื่อป้องกันการปะปนกับอากาศจากห้องน้ำที่เป็นมลภาวะ
และระบายอากาศทิ้งจากห้องน้ำออกสู่ภายนอกอาคารโดยตรงเป็นอิสระแต่ละห้อง
เพื่อรับประกันคุณภาพความสะอาดของอากาศที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้ป่วย
ญาติผู้ป่วย รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์
2. นวัตกรรมการออกแบบระบบสุขาภิบาล
การออกแบบให้ระบบท่อน้ำเสียส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่ปรับอากาศ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรคในระหว่างการซ่อมบำรุงระบบท่อน้ำเสีย และใช้หัวระบายน้ำพื้นที่มีคุณสมบัติป้องกันกลิ่น เพื่อป้องกันปัญหาห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น และเชื้อโรคจากหัวรับน้ำทิ้ง
มีการจัดให้แสงธรรมชาติเข้ามาสู่พื้นที่ภายในอาคารให้ได้มากที่สุด
ซึ่งเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อารมณ์ การนอน และการฟื้นไข้ของผู้ป่วย
ห้องพักผู้ป่วย ออกแบบให้ห้องน้ำติดผนังภายนอกอาคารเพื่อให้ห้องน้ำได้แสงธรรมชาติ
ภายในห้องออกแบบให้บริเวณเตียงผู้ป่วยมีระดับแสงธรรมชาติที่เหมาะสมกับการพักผ่อน
และไม่ได้ถูกรบกวนจากแสงจ้าและความร้อน
ออกแบบพื้นที่ต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ให้ผู้ป่วย ผู้ใช้บริการ รวมทั้งบุคคลากรทางการแพทย์เข้าถึงพื้นที่สีเขียว เพื่อช่วย การบำบัดด้วยธรรมชาติ จิตใจ อาการซึมเศร้า โดยมีสัญลักษณ์ของอาคารที่เป็นจุดเด่นคือ “หอสุริยประทีป” บริเวณหน้าทางเข้าอาคาร ที่ประกอบด้วยสวนยกระดับที่เป็นพื้นที่สีเขียว ที่สามารถมองเห็นได้ทั้งจากในและภายนอกอาคาร หอนี้ยังช่วยบำบัดมลภาวะทางอากาศจากถนน และเป็นดวงปทีปแห่งชีวิตที่ให้ความสว่างในยามค่ำคืน
รูปแบบของอาคารปลอดการสั่นสะเทือน
และระบบปรับอากาศแบบเฉพาะพื้นที่ (Localized Target Air-Conditioning)
ทำให้สามารถรองรับเทคโนโลยีการรักษาในอนาคตด้วยเครื่องมือแม่นยำสูง
หุ่นยนต์ และการรักษาแบบมุ่งเป้า “Patient Centric” โดยให้บริการทางการแพทย์ที่เข้าถึงผู้ป่วยจากแกนอาคารแนวรัศมีที่มีก้าวเดินน้อยที่สุด
6. การออกแบบเพื่อความยั่งยืน
อาคารได้รับการออกแบบตามมาตรฐานอาคารเขียวในระดับทอง
เช่น TREES,
LEED, WELL Standards และเป็นอาคารอนุรักษ์พลังงาน เป็นอาคารที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ
ออกแบบเพื่อส่งเสริมวิธีการก่อสร้างจากโรงงาน (Factory Build) ลดขยะจากการก่อสร้างตามหลักการ Circular Economy เพื่อให้มีผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
“After COVID 19 Design” รวมถึงการวางผังชั้นที่ 15 สำหรับ EID-Emerging Infectious Disease เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคระบาด โดยมีความดันอากาศของห้องที่ควบคุม บวกหรือลบได้, ศูนย์ผู้ป่วยฉุกเฉิน และศูนย์อุบัติเหตุ, ความปลอดภัยด้านอัคคีภัยที่ทุกชั้นของอาคารแบ่งเป็นพื้นที่ป้องกัน 2 พื้นที่ (Defend in Place), ระบบไฟฟ้าสำรอง, ระบบป้องกันน้ำท่วม, การป้องกันฝุ่น PM2.5
โดยแนวคิด “Patient First” ครอบคลุมในทุกมิติของการออกแบบ อาทิ สุขภาวะของผู้ใช้บริการ (Patient Well-being) : โดยใช้สิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา (Healing Environment) การออกแบบโรงพยาบาล RIH มีความมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากทัศนียภาพและแสงธรรมชาติ ให้มากที่สุด เนื่องจากผลการวิจัยที่พบว่า ทัศนียภาพที่ดีและแสงธรรมชาติที่พอเหมาะ มีผลต่อการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบที่เชื่อมโยงธรรมชาติ (Biophilic Design) เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ หรือ Well-Being ของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้น ผ่านงานออกแบบที่ให้ธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคารและพื้นที่โดยรอบ มีผลการวิจัยที่เปิดเผยว่าพื้นที่ธรรมชาติช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคร้าย และช่วยส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดี ภายในโครงการโรงพยาบาล RIH มีการจัดสรรพื้นที่สีเขียวตามจุดต่าง ๆ อาทิเช่น ดาดฟ้า ระเบียง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่สวนภายในอาคารขนาดใหญ่ ที่มีความสูงถึง 5 ชั้น โดยมีชื่อเรียกว่า “หอสุริยประทีป” เพื่อให้ผู้ใช้บริการตลอดจนบุคลากรทางแพทย์ได้มีสถานที่ที่สามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ภายในโครงการ อีกทั้งยังแบ่งปันทัศนียภาพที่สวยงามให้แก่ชุมชนและผู้สัญจรผ่านไปมาได้อีกด้วย
ความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
(Patient
Safety) : โดยมีออกแบบรองรับการป้องกันอัคคีภัย
(Fire Safety)
โดยแยกองค์ประกอบที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยอาทิเช่น ที่จอดรถ ,ห้องเครื่องงานระบบ
ออกจากอาคารหลักที่เป็นอาคารโรงพยาบาลเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัยภายในอาคารโรงพยาบาล โดยที่ระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารโรงพยาบาลถูกออกแบบภายใต้แนวคิด
“Defend in Place” มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น Compartment
เพื่อควบคุมความเสียหายและเพิ่มเวลาในการอพยพให้มากยิ่งขึ้น
รวมถึงการออกแบบแบบโมดูลาร์ (Modular Design) ในบริเวณพื้นที่ทางการแพทย์ภายในโรงพยาบาล
อาทิเช่น ห้องตรวจ ห้องหัตถการ ห้องพักผู้ใช้บริการ ออกแบบภายใต้แนวคิดแบบ Modular
Design ซึ่งทุกห้องจะมีรูปแบบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีรูปแบบเดียวกันทุกห้อง
เพื่อลดความสับสนในการปฏิบัติงานของบุคลาการทางแพทย์ (Human Error) ซึ่งต้องแลกกับการลงทุนด้านงานระบบที่มากขึ้นเป็น 2 เท่า จากระบบปกติ
ประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ (Patient Experience) : โดยใช้การออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย การบริการอย่างไทย (Thai Hospitality) เป็นอัตลักษณ์ที่สร้างชื่อเสียงและการยอมรับจากนานาชาติ ด้วยการเล็งเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของเอกลักษณ์ความเป็นไทย การออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาล RIH จึงนำเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย นำมาคลี่คลายประยุกต์ใช้ในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่สอดรับเข้ากันกับการให้บริการทางการแพทย์ของไทย ช่วยส่งเสริมการรับรู้และสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจของผู้ใช้บริการ อันจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการให้บริการทางการแพทย์ ในระดับสากล
หมุดหมายอันเป็นเอกลักษณ์ (The Iconic Landmark) : แนวคิดในการออกแบบเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม ได้นำเอกลักษณ์ของ “เส้นจอมแห” ซึ่งเป็นเส้นโครงร่างหลักของสถาปัตยกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาคารทรงสูง ประเภท เจดีย์ ปรางค์ หรืออาคารที่มียอดพุ่งสูงขึ้นด้านบน นำเส้นจอมแห ผสาน เส้นรัศมีดวงอาทิตย์ อันมีที่มาเชื่อมโยงถึงตราประจำมหาวิทยาลัยรังสิต มาเป็นองค์ประกอบของ Façade อาคาร และมีการติดตั้งไฟประดับอาคารเพื่อขับเน้นเส้นสายของ Façade ในเวลากลางคืน เพื่อให้อาคารมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เปี่ยมด้วยคุณค่า แฝงไว้ซึ่งความหมาย และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่สถาปัตยกรรมทางการแพทย์อีกด้วย
เพราะทุกวินาทีมีค่า การเลือกใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ KONE 24/7 Connected Services หรือระบบบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยเฝ้าระวังการทำงานของลิฟต์โดยสารและบันไดเลื่อนตลอด 24 ชั่วโมง จึงช่วยสนับสนุนการส่งมอบบริการทางแพทย์ให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องเป็นอย่างยิ่ง เพราะระบบบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์นี้ สามารถตรวจสอบสภาพของลิฟต์ได้แบบเรียลไทม์ คาดการณ์การเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และแก้ไขข้อบกพร่องทันทีก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อการให้บริการ ซึ่งช่วยลดเวลาหยุดการทำงานของลิฟต์ในโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี