ปรับ ครม. มาไวกว่าที่คิด
คอลัมน์..จับกระแสการเมือง..โดย สมศักดิ์ ไม้พรต..เว็บไซต์โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
เมื่อดูตามไทม์ไลน์ที่ฝ่ายค้านเคยประกาศไว้ว่า
จะยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลช่วง
ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
หมายความว่า ถ้าจะปรับคณะรัฐมนตรี
ก็ต้องปรับก่อนหน้านั้น
-------------------------------
ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นทุกขณะ
แต่ความที่พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงอันดับสองในรัฐบาล ทำให้พรรคแกนนำอย่างเพื่อไทยไม่กล้าทำอะไรมากเพราะขาดเสียงพรรคภูมิใจไทยรัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพ
พร้อมล้มได้ทุกเมื่อ
ที่ผ่านมานักวิเคราะห์การเมืองบางคนจึงมองว่าพรรคภูมิใจไทยขี่คอพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด
หลายเรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายเรือธงที่ใช้หาเสียงของพรรคเพื่อไทยจะถูกพรรคภูมิใจไทยเมินใส่มาตลอด
มีทั้งค้านเงียบ และค้านอย่างออกหน้า
ล่าสุดคือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคภูมิใจไทยมีมติชัดเจนว่าไม่ขอร่วมสังฆกรรมการพิจารณาในสภา
ทั้งที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่แถลงเอาไว้ต่อสภาอย่างชัดเจน
ในทางเปิดเผยที่พรรคภูมิใจไทยแสดงต่อสาธารณะคือ ที่ไม่ขอร่วมสังฆกรรมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะไม่ต้องการเอาส.ส.ของพรรคไปเสี่ยง
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าก่อนการพิจารณากฎหมายในสภาจะต้องทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนหรือไม่?
ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยอมเปลืองตัวเล่นบทคนเกเรในสภา ป่วนไม่ให้สภาพิจารณาวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปได้ ด้วยการทำให้องค์ประชุมไม่ครบทั้งสองวันที่พิจารณาเรื่องนี้ (13-14 ก.พ.68) เพื่อที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้ชัดเจนก่อนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำประชามติกี่ครั้งกันแน่
เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ หากมองว่าเป็นไปตามขั้นตอนปรกติ ก็จะไม่เห็นว่ามีอะไรแปลก เมื่อมีสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่งไม่แน่ใจว่าต้องทำประชามติก่อนพิจารณาร่างแก้ไขในสภาหรือไม่ ก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเพื่อความชัดเจน
ก็เรื่องธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้น
แต่หากมองในมติการเมือง กรณีนี้ก็มองได้ว่าต้องการใช้ผลพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญบีบให้พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ไม่ว่าศาลฯจะชี้ขาดออกมาอย่างไร เมื่อถึงเวลาพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา พรรคภูมิใจไทยจะได้หมดข้ออ้างไม่เข้าร่วม "สังฆกรรม" อีก
เรื่องก็น่าจะจบกันที่ตรงนี้
แต่อยู่ๆ ก็มีเรื่องแทรกซ้อนขึ้นมา เมื่อมีคนออกมาเรียกร้องให้ตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งที่เขาใหญ่ นครราชสีมา ซึ่งเป็นของคนในครอบครัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าอาจมีทับซ้อนที่ดิน สปก.
ทำให้นายอนุทินถึงกับควันออกหูสบถด่าคนที่ทำเรื่องนี้ว่า "หน้าตัวเมีย" พร้อมแสดงวามมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นใบสั่งทางการเมือง 500%
เกี่ยวกับเรื่องนี้มีมุมมองที่น่าสนใจจากนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ที่แสดงความเห็นไว้ในเฟสบุ๊ค Paisal Puechmongkol โดยตั้งเป็นคำถามว่า "ทำไมเสี่ยหนูจึงออกอาการมาก ชนิดแตกหัก ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ?"
..เมื่อลูกน้องผู้กองธรรมนัส ไปร้องให้ตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟของเสี่ยหนูที่เขาใหญ่ ว่าทับที่ สปก. ทำไมเสี่ยหนูซึ่งออกอาการประนีประนอมตลอดมา จึงออกอาการรุนแรง ถึงขั้นด่าว่าผู้นำพรรคเพื่อไทย ว่าหน้าตัวเมีย นั่นก็เพราะว่า
1. เสี่ยหนูรู้ว่า คนที่ไปร้องเรียนนั้นเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้กองธรรมนัส และรู้ว่าผู้กองธรรมนัส คือมืองานสำคัญของท่านแม้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ลูกน้องผู้กองธรรมนัสคงไม่กล้ากระดิกเอง จึงคิดว่า ท่านแม้วเป็นผู้สั่งการเบื้องหลังเรื่องนี้
2. เสี่ยหนูรู้ว่า การร้องเรียนเรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่าง 2 พรรค หลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าเป็นการร้องเรียนเพื่อแบล็คเมล์ ให้ต้องยอมทำตามที่พรรคเพื่อไทยต้องการ จึงมีอาการ แสดงออกที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดมาก
3. การที่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยจะทวงถามที่ดินเขากระโดงคืน เสี่ยหนูยังไม่ โกรธมากขนาดนี้ เพราะที่นั่นเสี่ยหนูมีที่ดินอยู่ไม่มากและมีเจ้าใหญ่ปักหลักอยู่คือเจ้าสำนักเขากระโดงจึงไม่รู้สึกกระทบถึงตัวเองเท่าไหร่ แต่มาที่เขาใหญ่นั้นเสี่ยหนูเข้าใจเองว่า เป้าหมายที่กระทำ ในเรื่องนี้ คือเสี่ยหนูโดยตรง เมื่อเข้าใจว่า ตัวเองถูกทำลายโดยตรง จึงระเบิดเถิดเทิง และอีกประการหนึ่ง เสี่ยหนูมีความรักผูกพันกับสนามกอล์ฟและพื้นที่เขาใหญ่มากดังนั้นเมื่อพื้นที่อันเป็นที่รัก ถูกตรวจสอบเพื่อจะเอากลับคืนเป็นของรัฐ จึงเดือดเป็นไฟสิครับ
อาการเดือดนี้เกิดขึ้น ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ที่ พรรคประชาชนกำลังจะยื่น ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐบาล
ดังนั้นถ้าพรรคภูมิใจไทยถอนตัวหรืองดออกเสียง หรือโหวตไม่ไว้วางใจด้วย นายกอุ๊งอิ๊งตกเก้าอี้แน่นอน
สภาพเช่นนี้ทำให้การเมืองไทยมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ท่านแม้วจะต้องตัดสินใจว่า จะประนอมเกลี้ยกล่อม ให้คืนดีกันอย่างไร หรือไม่ก็ต้องปรับคณะรัฐมนตรี เอาพรรคภูมิใจไทยออกไป เอาพรรคประชาชนเข้ามา หรือว่าจะต้องยุบสภา แต่เรื่องทั้งนี้ไม่เหลือปัญญาท่านแม้วหรอก เพราะท่านเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญตัวจริง..
ถูกพรรคภูมิใจไทยคว่ำในสภาตอนโดนมติซักฟอก ปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อเอาภูมิใจไทยออกก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือยุบสภา
นี่คือสามฉากทัศน์ทางการเมืองที่ผู้คร่ำหวอดอย่างนายไพศาลมองเห็นว่าจะกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองคนอื่นๆ ที่เห็นไปในทิศทางเดียวกัน
แต่คำถามคืออย่างไหนจะเป็นไปได้มากกว่ากัน
เท่าที่ประเมิน ถูกพรรคภูมิใจไทยคว่ำในสภาตอนโดนมติซักฟอก เป็นไปได้น้อยที่สุด ตามมาด้วยการยุบสภา
ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้คือ ปรับคณะรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่าจะปรับหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เมื่อเปิดหน้าปะฉะดะกันอย่างนี้แล้วการดึงเวลาไปปรับหลังศึกซักฟอกจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
เมื่อดูตามไทม์ไลน์ที่ฝ่ายค้านเคยประกาศไว้ว่าจะยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
หมายความว่าถ้าจะปรับคณะรัฐมนตรี ก็ต้องปรับก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้นการเมืองตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปคงมีอะไรให้ได้ติดตามกันอย่างเข้มข้นทุกวัน