จี้นายกฯยุบสภา หลัง ส.ส.-ส.ว.ไม่ร่วมประชุมแก้รัฐธรรมนููญ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 การประชุมร่วมรัฐสภา (ส.ส.และส.ว.) เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เลื่อนมาจากวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งการประชุมล่มซ้ำเป็นครั้งที่สอง หลังนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้นับองค์ประชุมก่อนที่จะเข้าสู่วาระการพิจารณา โดยมีการอภิปรายโต้เถียงกันไปว่าระหว่างส.ส.พรรคประชาชน และส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีการโต้เถียงกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนมีการลงมติ ซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาเสนอให้นับองค์ประชุมโดยการขานชื่อ แต่ นพ.ชลน่าน เสนอให้ที่ประชุมลงมติก่อนว่าจะนับองค์ประชุมโดยการขานชื่อหรือใช้วิธีการเสียบบัตร ทำให้ประธานวิปฝ่ายค้านปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคประชาชน เสนอให้พักการประชุมก่อน 20 นาที เพื่อไปหารือกันนอกรอบเพราะบรรยากาศในที่ประชุมไม่ดี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอ
หลังพักการประชุมกลับมามีการนับองค์ประชุมปรากฎว่ามีสมาชิกแสดงตนอยู่ในห้องประชุมเพียง 172 คน จากจากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 692 คน ไม่ครบองค์ประชุม ประธานรัฐสภาจึงสั่งปิดการประชุมทันที
พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ผ่านเพจเฟสบุ๊คอย่างเป็นทางการของพรรค หัวข้อ แก้รัฐธรรมนูญล่มซ้ำซากทั้งที่เป็นนโยบายรัฐบาล นายกฯ คุมเสียงพรรคร่วมไม่ได้ ควรยุบสภาคืนอำนาจประชาชน
การประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ล่มไปอีกครั้ง สมาชิกรัฐสภาซีกรัฐบาลทั้ง สส. และ สว. ไม่เข้าร่วมแสดงตน องค์ประชุมเหลือเพียง 172 คน ประเทศไทยต้องเสียโอกาสในการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้ก่อนการเลือกตั้งปี 2570
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลและพรรคที่เคยหาเสียงด้วยนโยบาย “จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” อาจจะอ้างว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเอง เพราะได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มี สสร. จากการเลือกตั้งของประชาชน ประกบกับร่างของพรรคประชาชนแล้ว
แต่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เราอดตั้งคำถามไม่ได้จริงๆ ว่าพรรคเพื่อไทยมีความจริงใจขนาดไหนที่จะรักษาสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับประชาชน
แม้รัฐบาลผสมมีข้อจำกัดเรื่องอำนาจ จะทำอะไรจำเป็นต้องต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่หากพรรคเพื่อไทยมีเจตจำนงต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบของพรรคเพื่อไทยที่ต้องใช้อำนาจในฐานะพรรคแกนนำ ผลักดันให้พรรคร่วมรัฐบาลเดินตามให้ได้
ก่อนหน้านี้เราเห็น สส.พรรคเพื่อไทยบางคน ถึงขั้นประกาศกร้าวในทำนองว่าถ้าไม่ยอมร่วมแก้รัฐธรรมนูญ ก็ออกจากการเป็นรัฐบาลไปสิ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดสองวันนี้สวนทางโดยสิ้นเชิง เพราะ สส.เพื่อไทยเองไปสนับสนุนญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญ และยังไม่ยอมเป็นองค์ประชุม ทำให้การประชุมวันแรกล่ม กระทั่งวันนี้ที่พรรคประชาชนพยายามสู้เสนอญัตติ ก็ยังขนพลพรรคมาตีรวนประท้วงให้วุ่นวาย จะไม่ยอมให้เสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญให้ได้
พรรคประชาชนไม่เชื่อว่าการ “เดินอ้อม” ตามที่พรรคเพื่อไทยอ้างนั้น จะสามารถนำไปสู่ปลายทางที่ประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เราเชื่อว่าทางออกคือการเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมา เพื่อแก้ 3 ปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเผชิญอยู่
(1) รัฐบาลที่ขาดเจตจำนงทางการเมือง ถ้าก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยพูดคุยหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างจริงจังและเต็มที่ ร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกเสนอเข้ามาควรต้องถูกเสนอเป็นร่างของคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่ร่างของพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว
(2) ปัญหาการขาดนิติรัฐ ที่ทำให้สมาชิกรัฐสภาหวั่นเกรงต่อผลกระทบทางกฎหมายจากการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ สะท้อนว่าประเทศไทยวันนี้ไม่ได้ถูกปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด แต่กำลังอยู่ภายใต้การปกครองของศาลรัฐธรรมนูญ
(3) การไม่เคารพเสียงประชาชน ทั้งที่แทบทุกพรรคหาเสียงไว้ชัดเจนว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ได้เร่งเดินหน้าผลักดันจริง
นอกจากนี้ สาเหตุที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยและ สว. ไม่น่าจะเป็นเพราะข้อกังวลทางกฎหมายหรือเพราะต้องการความชัดเจนจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทั้งสองกลุ่มนี้ไม่ได้มาลงมติเห็นชอบกับการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ
แต่สาเหตุและอุปสรรคสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งปรากฏให้เห็นไม่ใช่แค่ในเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่รวมถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกลาโหม รายงานนิรโทษกรรม เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ กัญชา ค่าแรง แม้กระทั่งการตัดไฟตัดเน็ตขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ยื้อกันไปมา ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศไม่ได้รับการแก้ไข
พรรคประชาชนจึงเห็นว่าทางออกของประเทศไทยในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐบาลผสม ที่ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและผลักดันนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จให้ได้
มิใช่ปล่อยให้ประชาชนต้องทนดูพรรคร่วมรัฐบาลทำสงครามสั่งสอนกันไปมา โดยไม่ได้คิดถึงวาระสำคัญของประชาชน เรื่องไหนพอเป็นประโยชน์ร่วมกันก็จับมือกันทำ เรื่องไหนเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลและสำคัญกับประชาชน แต่ตกลงกันไม่ได้ ก็ใช้วิธีต่างคนต่างทำ
หากองค์ประกอบของสภาฯ และพรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้ ไม่สามารถทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ และหากนายกรัฐมนตรีไม่สามารถใช้อำนาจเพื่อบริหารพรรคร่วมรัฐบาลให้ขับเคลื่อนนโยบายตามที่ประกาศต่อประชาชนได้
นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร สมควรพิจารณาการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเข้ามาให้มากที่สุด จากนั้นสภาชุดใหม่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยทันที
ด้านพรรคเพื่อไทย นำโดย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส.ส.สระแก้วและเลขาธิการพรรค นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อแลโฆษกพรรค พร้อมด้วย ส.ส. พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวที่รัฐสภาระบุ เมื่อองค์ประชุมสภาล่มเป็นครั้งที่สองถือว่าเข้าองค์ประกอบที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ เพราะครั้งที่แล้วยื่นไปศาลฯไม่รับโดยให้เหตุผลว่าความขัดแย้งยังไม่เกิด
"เมื่อยื่นเรื่องให้ศาลฯพิจารณาแล้วจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างอยู่สามารถอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภาได้ต่อไป ตรงกันข้ามหากฝืนพิจารณาต่อไปจนถึงขั้นลงมติรับหลักการถ้าญัตติถูกตีตก ก็จะไม่สามารถเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนี้ได้อีก
"เป้าหมายหลักของเราคือจะให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในสภาได้นานที่สุด ถ้ายื้อพิจารณาต่อไปก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าร่างแก้ไขจะถูกตีตก"นายสุทิน กล่าวพร้อมยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนก่อนว่าต้องประชามติกี่ครั้ง ถ้าศาลฯบอกต้องทำสามครั้งก็จะได้ทำประชามติก่อน ถ้าบอกว่าสองครั้่งก็จะได้เดินหน้าพิจารณาในสภาได้เลย ทางตันที่จะผ่า เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ ก็คือให้ศาลวินิจฉัย