แก้ฝุ่น PM2.5 รัฐบาลเพื่อไทยมีแต่ "เจ๊ากับเจ๊ง"
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง #โดย..สมศักดิ์ ไม้พรต #เว็บไซต์โลกธุรกิจ #เผยแพร่ 25 มกราคม 2568
สถานการณ์ ฝุ่น PM2.5 ที่ปกคลุมไปทั่วจนประชาชนหายใจไม่สะดวก เด็กๆ หลายคนเลือดกำเดาออกจมูก หลายคนภูมิแพ้กำเริบ
ทุกภาพที่ถูกเผยแพร่ออกมาล้วนเป็นคันศรพุ่งตรงเข้าขั้วหัวใจรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
ทำลายล้างความเชื่อมั่น พังทลายความศรัทธาแทบไม่เหลือ
ฝุ่น PM2.5 กลบทุกอย่างที่รัฐบาลทำเกือบหมด ไม่ว่าจะเรื่องแจกเงินหมื่นเฟสสอง เรื่องบ้านเพื่อคนไทย หรือเรื่องอื่นๆ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะประชาชนคาดหวังเอาไว้สูงว่าสถานการณ์ ฝุ่น PM2.5 ปีนี้จะไม่ร้ายแรงเหมือนปีก่อนๆ เพราะเชื่อในน้ำคำของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะช่วงที่พูดเอาไว้ตอนหาเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่พูดเอาไว้สมัยเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่ดุเดือด ขึงขัง จริงจัง
แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลกลับทำได้ไม่ดีเหมือนที่พูด
ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำอะไร เพราะถ้าฟังจากปากของนายกฯแพทองธาร ที่ว่า..
"..เตรียมไว้ตั้งแต่วันที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ปีที่แล้วเลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละพื้นที่ ว่าฝุ่นกำลังจะมา ฝุ่นไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์ของเรา รัฐบาลทราบอยู่แล้ว ก็เห็นเรียกประชุมหมดแล้วทุกกระทรวง.."
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลก็ดำเนินมาตรการล่วงหน้าเพื่อรับมือฝุ่น PM2.5 เอาไว้พอสมควร เพียงแต่มันไม่เกิดผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะเรื่องการเผาในพื้นที่ทางการเกษตร ที่แม้จะมีกฎหมายในมือแต่ก็ลำบากใจที่จะบังคับใช้ เพราะขืนทำอะไรรุนแรงไป เข้มงวดไป ก็จะเข้าตำรา "หยิกเล็บเจ็บเนื้อ" เพราะเกษตรกรคือฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยในชนบท
ถ้าจะเอากันตามกฎหมายสามารถบังคับใช้ได้ทั้งพ.ร.บ.ป้องกันละบรรเทาสาธารณะภัย พ.ร.บ.การสาธารณสุข และพ.ร.บ.อื่นๆที่เอามาใช้บังคับได้ ซึ่งอัตราโทษมีทั้งจำคุกและปรับ
แต่ใครจะทำ
แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะแสดงท่าทีขึงขังว่าต่อไปถ้าปล่อยให้มีการเผาผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรับผิดชอบด้วยการถูกย้ายออกจากพื้นที่
แต่เชื่อเถอะว่าการเผาจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะหมดและเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกใหม่
เผากันเยอะขนาดนี้ จะย้ายไหวหรือ ถ้าย้ายกันเยอะๆ จะย้ายไปไว้ที่ไหน จะเหลือใครทำงานในพื้นที่
ทุกอย่างที่ทำอยู่ในวันนี้จึงเป็นเพียงการเทคแอคชั่นให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย แต่ทำอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรี ขึ้นรถเมล์ฟรี ให้นักเรียนหยุดเรียน ให้ Work From Home ตั้งด่านตรวจจับรถควันดำ ให้โรงงานน้ำตาลงดซื้ออ้อยไฟไหม้ (พอเกษตรกรประท้วงก็อนุโลมเพราะอ้อยเผาจะอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่ให้โรงงานรับซื้อเกิดความเสียหายจะยิ่งแย่กันไปใหญ่) ให้กรมฝนหลวงบินโปรยน้ำแข็งแห้งในพื้นที่ที่มีความชื้นเพื่อเจาะช่องชั้นบรรยากาศให้ฝุ่นก็มีรูระบายออก ฯลฯ
ทั้งหมดทั้งมวลคือการเทคแอคชั่นให้เห็นว่า ทำนะ ไม่ใช่ไม่ทำอะไร
ส่วนใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็ต้องก้มหน้ายอมรับสภาพ เพราะอยู่ในสถานะที่พูดอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากมีดิจิตอลฟุตพริ้นท์ค้ำคออยู่
อย่างไรก็ตามท่ากลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็มีไม่น้อยที่เสนอทางออกในการแก้ปัญหาต่อรัฐบาล เช่น นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ที่บอกว่าสาเหตุหลักทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ช่วงนี้คือการเผาพื้นที่ทางการเกษตร ทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน และในไทย การขจัดปัญหาฝุ่นพิษ จะต้องเริ่มที่ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และน้ำตาล ข้อมูลปี 2020
เมียนมาใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพด 3.7 ล้านไร่ ส่งไทย 70% โดยบริษัทไทยเป็นผู้ขายเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ เมียนมามีจุดเผา 409,866 จุด
ลาวใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพด 1.25 ล้านไร่ ส่งไทยเป็นส่วนใหญ่ ลาวมีจุดเผา 177,161 จุด
กัมพูชาใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพด 1.12 ล้านไร่ ปลูกอ้อย 0.82 ล้านไร่ ส่งไทยเป็นส่วนใหญ่ กัมพูชามีจุดเผา 200,712 จุด
ไทยใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพด 6.95 ล้านไร่ เผาข้าวโพด 35% ปลูกอ้อย 9.9 ล้านไร่ เผาอ้อย 61% ไทยมีจุดเผา 219,482 จุด
รวมสี่ประเทศ มีจุดเผาแต่ละปี เป็นล้านจุด
ส่วนแนวทางแก้ปัญหาแกนนำพรรคพลังประชารัฐเสนอว่า ถ้าจะแก้ปัญหาฝุ่นพิษให้ได้ผลจริง ต้องใช้ระบบภาษี เช่น
1. เก็บภาษีจากผู้นำเข้าข้าวโพดและอ้อยหรือน้ำตาลที่ปลูกในประเทศเพื่อนบ้านในอัตรา 100% ต่อเมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งปี เมื่อผู้นำเข้าสินค้าให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญที่รัฐบาลไทยขึ้นทะเบียน ออกใบรับรองยืนยันว่า ในห้วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แปลงที่ผลิตไม่มีการเผา ให้มีสิทธิขอคืนภาษีเต็มจำนวน
2. เก็บภาษีจากผู้รับซื้อข้าวโพดและอ้อยที่ปลูกในประเทศไทยในอัตรา 100% เว้นแต่กรณีผู้รับซื้อให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญที่รัฐบาลไทยขึ้นทะเบียน ออกใบรับรองยืนยันว่า ในห้วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แปลงที่ผลิตไม่มีการเผา
3. เก็บภาษีข้าวที่ส่งออกในอัตรา 5% เมื่อครบหนึ่งปี นำเงินภาษีส่งออกมาแบ่งเพื่อคืนให้แก่ อบต. ตามสัดส่วนการผลิตข้าว ยกเว้นพื้นที่ อบต. ใดที่มีจุดการเผาฟางในห้วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา จะถูกริบ เอาเงินไปเฉลี่ยให้ อบต. อื่นๆ ในปีถัดไป
"ขอเสนอเป็นแนวคิด เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการทันที ไม่ต้องรอกฎหมายอากาศสะอาด ไม่ต้องรอให้คนไทยต้องเสียสุขภาพไปมากกว่านี้"
นับเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจ
ไม่รู้ว่ารัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจะรับไปพิจารณาหรือไม่ เพราะอย่างที่บอกไว้ในตอนต้นว่าเกษตรกรเป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เวลาจะทำอะไรจึงเกิดอาการลูบหน้าปะจมูก
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ได้ความชื่นชมจากคนเมือง (ที่ไม่รู้ว่าจะลงคะแนนเสียงให้หรือเปล่า) แต่เสียศรัทธราจากคนรากหญ้าที่ไปเพิ่มภาระในการทำมาหากินให้พวกเขา
นอกเสียงจากว่า "ห้ามเผา" แล้วมีมาตรการช่วยเหลือ หรือมีอะไรชดเชยให้เป็นที่น่าพอใจก็จะ วิน-วิน ด้วยกันทั้งสองฝ่าย