Header Ads

สศค.จับตานโยบาย"ทรัมป์"กระทบห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก

 


สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (Fiscal Policy Office) เผยแพร่ข้อมูลระบุแนวทางดำเนินนโยบายภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก การค้าและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจชะลอตัวลงจากข้อกีดกันทางการค้า ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเชื่อมั่นว่านโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความพร้อมเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจและเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยได้อย่างต่อเนื่อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่าในวันที่ 20 มกราคม 2568 เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) (24.00 น. เวลาประเทศไทย) นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ณ อาคารรัฐสภาและกล่าวสุนทรพจน์ประกาศการเริ่มต้น "ยุคทองของอเมริกา" (Golden Age of America) พร้อมเน้นแนวทาง "America First" ผ่านนโยบายสำคัญดังนี้

1. นโยบายต่างประเทศ : มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯ และเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศผ่านภาษีศุลกากร (Tariff) โดยการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และการปกป้องภาคการผลิตและภาคเกษตรกรรมในสหรัฐฯ โดยการเพิ่มภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า รวมถึงจะมีการเจรจาทบทวนข้อตกลงการค้าใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบและความเป็นธรรมแก่แรงงานและอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐฯเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มการจ้างงานในประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญ

2. พลังงานและเศรษฐกิจ : การยกเลิกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Green New Deal) และยกเลิกข้อบังคับยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งเสริม

การพึ่งพาตนเองด้านพลังงานและกระตุ้นการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ำมัน

3. การอพยพและความมั่นคงชายแดน : การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนใต้ เพื่อหยุดการอพยพผิดกฎหมาย พร้อมระบุว่ากลุ่มค้ายาเสพติดเม็กซิกันจะถูกจัดเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ

4. การปฏิรูปรัฐบาล : การยุติการควบคุมหรือการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลในการแสดงความคิดเห็นโดยหน่วยงานภาครัฐ (Government Censorship)

5. นโยบายสังคม : การรับรองเพศเพียงสองประเภทอย่างเป็นทางการ (ชายและหญิง) และการคืนสถานะให้แก่ทหารพร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังเต็มจำนวน กรณีที่ถูกปลดประจำการจากการคัดค้านนโยบายบังคับฉีดวัคซีน COVID-19

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้คาดการณ์ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ว่าอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก การค้า และเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย สำหรับด้านการส่งออก นโยบายกีดกันทางการค้าและการเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้าจากจีน อาจทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการสินค้าจากไทยลดลงและมีความเป็นไปได้สูงที่จีนอาจระบายสินค้าสู่ตลาดเอเชียรวมถึงไทย ทำให้สินค้าของไทยอาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยานยนต์ เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง และสิ่งทอ

ทั้งนี้ แนวทางการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สามารถทำได้โดย

1. มุ่งเน้นการกระจายตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้า รวมทั้งการขยายการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) และสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) รวมทั้งการปรับภาคการผลิตโดยมุ่งเน้นสินค้ามูลค่าสูงและซับซ้อน เช่น ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร พลังงานสะอาด เป็นต้น เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในตลาดโลก พร้อมทั้งมีแผนพัฒนาแรงงานและส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายการส่งออกสินค้าทดแทนจากจีนสู่ตลาดสหรัฐฯ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เหล็กและอะลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งไทยมีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ และตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก

2. เร่งรัดการลงทุน นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยไม่มาก โดยการลงทุนจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.3 ของเงินลงทุนต่างประเทศทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ อาจกระตุ้นการย้ายฐานการผลิตจากประเทศต่าง ๆ มายังไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไทย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นต้น นอกจากนี้ การพัฒนาแรงงานเฉพาะด้านและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เช่น การลดขั้นตอนการอนุมัติและการสร้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จะช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

3. ส่งเสริมการท่องเที่ยว ผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2.9 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2567 โดยนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาจากจีน ญี่ปุ่น และยุโรป อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ ให้เดินทางมายังไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ระบบชำระเงินดิจิทัล การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินและระบบขนส่ง รวมถึงการบูรณาการการส่งเสริมการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดสำคัญและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกล่าวว่า นอกจากนโยบายรองรับความไม่แน่นอน ดังกล่าวแล้ว การดำเนินนโยบายการคลังปัจจุบันที่มีประสิทธิภาพ สามารถส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจและเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเป็นการดำเนินนโยบายการคลังเชิงบูรณาการมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยดำเนินโครงการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งขณะนี้ สศค. อยู่ระหว่างเสนอร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางทางการเงิน พ.ศ. .... เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ซึ่งจะดึงดูดสถาบันการเงินชั้นนำและวิสาหกิจเริ่มต้นที่มีเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech Startup) มาประกอบธุรกิจในประเทศ โดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มการจ้างงานที่มีคุณภาพและผลตอบแทนสูงในระยะยาว

ทั้งนี้ สศค. จะติดตามการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการการคลัง จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย

Theme images by fpm. Powered by Blogger.