Header Ads

จะรับมือ "ทรัมป์" กีดกันการค้าอย่างไร?

คอลัมน์..จับกระแสการเมือง..#โดย..สมศักดิ์ ไม้พรต..#เว็บไซต์..โลกธุรกิจ..#เผยแพร่ 21 มกราคม 2568..
การก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สองอย่างเป็นทางการของ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลไปทั่วโลกโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ

        สืบเนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายเอาไว้อย่างชัดเจนช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้ภาคเอกชนเกิดความห่วงใยและเริ่มเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมรับมือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

  นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอให้รัฐบาลดำเนินการ 2 มาตรการเร่งด่วน คือ 

        1.ให้รัฐบาลจัดตั้ง War Room และเตรียมทีม ล็อบบี้ยิสต์ ที่เข้มแข็ง เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลดผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์จะเปลี่ยนแนวทางเจรจาจากพหุภาคีเป็นทวิภาคี จึงต้องเตรียมล็อบบี้ยิสต์เอาไว้เจรจาต่อรองทางการค้าละต้องมีแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แบบวิน-วิน เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในประเทศ ซึ่งถือเป็นการเตรียมรับมือทางตรง ส่วนทางอ้อมแน่นอนว่าจีนที่จะมีปัญหาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐจะหันมาทุ่มตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แนวทางที่ 2.คือการเร่งหาตลาดใหม่ๆ เพื่อรองรับสินค้าที่รับผลกระทบจากการส่งไปสหรัฐ เหมืนที่จีนทำในช่วงรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยแรก ที่จีนใช้กลยุทธ์โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ทำให้สามารถลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปสหรัฐลงได้ จากเดิม 27% เหลือไม่ถึง 20%

"ทั่วโลกกังวลต่อมาตรการของโดนัลด์ ทรัมป์  ซึ่ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ประเมินว่าสหรัฐ จะขึ้นภาษีผู้ค้าอย่างน้อย 10-20% ส่วนจีนจะโดน 60-100% แม็กซิโกและแคนาดา 25% โทษฐานที่ปล่อยให้มีคนลักลอบผ่านแดนอย่างผิดกฎหมาย จึงคาดการณ์ว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะบั่นทอนเศรษฐกิจโลกจากที่ประเมินในปี 2568 เศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 2.7% อาจลดลงอีกราว 0.3% เหลือ 2.4% และยังมองไปถึงปี 2569 จะลดลงอีก หากยังทวีความรุนแรงมากขึ้น" ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ระบุ

ในปี 2567 ที่ผ่านมาไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของสหรัฐ ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ จับตามองไทยเป็นพิเศษ โดยจะตั้งนโยบายและมาตรการกับประเทศที่ได้ดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อค่าเงินให้แข็งกับประเทศคู่ค้าในข้อหาบิดเบือนค่าเงินกับสหรัฐ ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เกือบ 20% ทำให้จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น

"เมื่อสินค้าจีนไปสหรัฐไม่ได้ ก็จะเทมาที่อาเซียน ซึ่งจะแย่งตลาดสินค้าไทย และแน่นอนว่าสินค้าจีนจะทะลักเข้าไทยด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีสัญญาณอุคสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบออกมาอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2565 มีสินค้าได้รับผลกระทบ 20 กลุ่มอุตสาหกรรม ปี 2566 เพิ่มเป็น 22 กลุ่มอุตสาหกรรม ปี 2567 ได้รับผลกระทบ 25 กลุ่มอุตสาหกรรม และในปีนี้จะกระทบ 30 กลุ่มอุตสาหกรรม และคาดว่าจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในสมัยที่สองของ โดนัลด์ ทรัมป์" 

ขณะที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒฯ ให้ความเห็นไว้ช่วงปลายปีที่แล้ว โดยให้ย้อนดูตอนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกเริ่มประกาศนโยบายต่างๆในปี 2561 เริ่มกระทบกับเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2562 - 2563 ทั้งด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกกีดกันทางการค้าที่มีมากขึ้น 

        ดังนั้นนโยบายที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนไม่น้อยกว่า 60% จะส่งลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมแน่นอน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของมาตรการที่สหรัฐบังคับใช้

ข้อเสนอที่นายดนุชา ให้ไว้คือต้องขับเคลื่อนภาคการส่งออกให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเน้นส่งออกสินค้าที่เรามีศักยภาพ เช่น สินค้า ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกลุ่มสินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดี เช่น สินค้ากลุ่มอาหาร และเกษตรแปรรูป สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ที่สำคัญต้องส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อกังวลจากหลายฝ่ายและต้องการให้รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังมีคนมองการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์  บุคคลนั้นคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งมีความคุ้นเคยกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในระดับหนึ่ง 

        นายทักษิณเชื่อว่าการขึ้นภาษีสินค้าขาเข้า สหรัฐจะใช้วิธีเจรจากับคู่ค้าทีละประเทศ ซึ่งไทยเราเป็นพันธมิตรเก่าแก่กับสหรัฐและไม่ใช่ประเทศร่ำรวยก็น่าจะอยู่ในข่ายที่พูดคุยกันได้

ส่วนที่  IMF  ประเมินว่าเศรษบกิจโลกจะขายต่ำลง นายทักษิณ กลับมองตรงกันข้าม โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะโตขึ้นเนื่องจากจะมีเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นเม็ดเงินจริงๆไม่ใช่พันธบัตร เหมือนอย่างที่เศรษฐกิจไทยโตน้อยกว่าที่อื่นเพราะเรามีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจน้อย จึงพยายามเสนอให้ออกเหรียญ Stable Coin โดยใช้พันธบัตรรัฐบาลค้ำประกัน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักและเติบโตได้เท่ากับหรือมากกว่าทีอื่น

เมื่อเหรียญมีสองด้าน ความเห็นต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงมีสองมุม อยู่ที่ว่าใครจะเลือกมองมุมไหน มีชุดข้อมูลความคิดอย่างไร

ส่วนแนวคิดใครจะถูกจะพลาดเวลาอีกไม่นานจากนี้คงได้รู้กันเพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา

สุภาษิตว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"  เมื่อเห็นเมฆฝนตั้งเค้า รีบเก็บของที่ตากไว้ ถ้าฝนเทลงมาแม้จะมีความเสียบ้างแต่ก็คงไม่มาก

แต่หากชะช่าใจว่าฝนคงไม่ตก หรือฝนตกแล้วค่อยเก็บ ก็จะเกิดความเสียหายมาก

ไม่ว่าจะมองผลกระทบจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไร

เตรียมพร้อมรับมือไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

Theme images by fpm. Powered by Blogger.