ยอดขอส่งเสริมลงทุนปี 67 ทะลุ 1.13 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปี
เว็บไซต์รัฐบาลไทย เปิดเผยข้อมูลวันที่ 17 มกราคม 2568 ระบุ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ รายงานข้อมูลการลงทุนประจำปี 2567 ซึ่งถือเป็นปีทองของการลงทุนอย่างแท้จริง และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยในปี 2567 คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นสูงทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีจำนวน 3,137 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปี 2566 นับว่าเป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ และมีมูลค่าเงินลงทุน 1,138,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 สูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่รองรับอุตสาหกรรม ไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด บุคลากรที่มีคุณภาพ Supply Chain ที่ครบวงจร ต้นทุนการประกอบธุรกิจที่เหมาะสม มาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาล สิทธิประโยชน์และการบริการต่าง ๆ ของบีโอไอ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. อุตสาหกรรมดิจิทัล 243,308 ล้านบาท 150 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จะเป็นกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์
2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 231,710 ล้านบาท 407 โครงการ กิจการที่มี การลงทุนสูง เช่น การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 83 โครงการ เงินลงทุนรวม 86,426 ล้านบาท นอกจากนี้ ก็มีโครงการผลิตชิป (Wafer) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ (IC Design) การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
3. อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 102,366 ล้านบาท 309 โครงการ ประกอบด้วยโครงการลงทุนผลิตรถยนต์ EV และ ICE โดยค่ายญี่ปุ่น จีน และยุโรป การผลิตยางล้อรถยนต์ ยางล้ออากาศยาน ระบบอัจฉริยะในรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ต่าง ๆ
4. อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร 87,646 ล้านบาท 329 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการผลิตอาหาร เครื่องดื่มและสิ่งปรุงแต่งอาหาร กิจการผลิตอาหารสัตว์ กิจการผลิตน้ำมันหรือไขมันจากพืชหรือสัตว์ กิจการผลิตบรรจุภัณฑ์จากผลผลิตหรือเศษวัสดุทางการเกษตร กิจการขยายพันธุ์สัตว์และเลี้ยงสัตว์
5. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 49,061 ล้านบาท 235 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเคมีภัณฑ์ พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์ชนิดหลายชั้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจการอื่นที่มีการลงทุนสูงและมีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ 114,484 ล้านบาท 515 โครงการ กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง 39,162 ล้านบาท 174 โครงการ กิจการผลิตอุปกรณ์การแพทย์และบริการทางการแพทย์ 18,237 ล้านบาท 92 โครงการ
“โครงการที่ได้รับส่งเสริมในปี 2567 เกิดการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 2.1 แสนคน ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สามารถเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี” นางสาวศศิกานต์ ระบุ
ด้าน BOI News เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2024 เป็นอีกหนึ่งปีที่ บีโอไอ ยืนยันบทบาทการเป็นหน่วยงานให้การส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ด้วย 9 ตัวเลขไฮไลต์ที่สะท้อนศักยภาพและความสำเร็จ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตการลงทุนระดับโลก
1) 1.13 ล้านล้านบาท : สถิติมูลค่าการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี
ปี 2024 บีโอไอทำสถิติใหม่ ด้วยมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความมั่นใจที่นักลงทุนทั่วโลกมีต่อไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
2) 3,137 โครงการ : ยอดอนุมัติที่มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ
จำนวนโครงการสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เห็นว่าไทยพร้อมในทุกด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนการเติบโต
3) สิงคโปร์ครองแชมป์ : นักลงทุนด้วยเม็ดเงินลงทุนสูงสุด
สิงคโปร์ ยังคงเป็นประเทศที่มีการลงทุนในไทยสูงสุดด้วยมูลค่า 357,540 ล้านบาท ตามมาด้วย จีน (174,638 ล้านบาท) และฮ่องกง (82,266 ล้านบาท) โดยการลงทุนจากสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นโครงการของบริษัทแม่จากจีนและสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าไทยเป็นพื้นที่ไร้ความขัดแย้ง (Conflict-free Zone)
4) Data Center มาแรง เงินลงทุนทะลุ 241,000 ล้านบาท ในมือผู้เล่นระดับโลก
ปี 2024 เป็นปีทองของธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ด้วยการลงทุนจากยักษ์ใหญ่ เช่น Google, AWS, Alibaba Cloud และ Huawei และอีกหลายบริษัทชั้นนำเลือกไทยเป็นฐานลงทุน สะท้อนความสำคัญของธุรกิจดิจิทัลในเศรษฐกิจยุคใหม่ และศักยภาพไทยในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอนาคต
5) 5 อุตสาหกรรมเด่นแห่งอนาคต : ดิจิทัลครองอันดับ 1
1. ดิจิทัล (243,308 ล้านบาท) : ธุรกิจ Data Center และการพัฒนาซอฟต์แวร์
2. อิเล็กทรอนิกส์ (231,710 ล้านบาท) : การผลิต PCB และเซมิคอนดักเตอร์
3. ยานยนต์ (102,366 ล้านบาท) : การผลิต EV และชิ้นส่วนยานยนต์
4. เกษตรและอาหาร (87,646 ล้านบาท) : การแปรรูปอาหาร
5. ปิโตรเคมี (49,061 ล้านบาท) : การผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติกชนิดพิเศษ
6) ปรับเกมเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
การขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 114,484 ล้านบาท เป็นมูลค่าการลงทุนที่สูงและมีความสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ แสดงถึงความพร้อมของไทยที่จะรองรับความต้องการด้านพลังงานสะอาดในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม Smart & Sustainable Industry ยังเติบโตกว่า 30 % เม็ดเงินลงทุน 35,560 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเน้นพลังงานสะอาด ระบบอัตโนมัติ และการลดต้นทุนด้านพลังงาน
7) ภาคตะวันออกขึ้นแท่นโซนสุดฮอต เงินลงทุน 573,066 ล้านบาท ในพื้นที่ศักยภาพสูง
พื้นที่ภาคตะวันออกยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดึงดูดนักลงทุนมากที่สุด (573,066 ล้านบาท) ตามด้วย ภาคกลาง (392,267 ล้านบาท) และภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (71,591 ล้านบาท) พร้อมการกระจายโอกาสสู่ภูมิภาคอื่น
2.1 แสนตำแหน่ง - 2.6 ล้านล้านบาท : ตัวเลขที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
การลงทุนในปีนี้ไม่ได้แค่สร้างงานกว่า 2.1 แสนตำแหน่ง แต่ยังใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท และสร้างรายได้จากการส่งออกสูงถึง 2.6 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจไทย
9) 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ : ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยใน 3 ปีข้างหน้า
บีโอไอกำหนดยุทธศาสตร์ 5 ปี (2566-2570) โดยเน้น 5 อุตสาหกรรมสำคัญ
• อุตสาหกรรมชีวภาพและเศรษฐกิจสีเขียว: เกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงานสะอาด
• ยานยนต์ไฟฟ้า : ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน
• อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง : เซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอัจฉริยะ
• ดิจิทัลและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ : เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล
• ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ : ศูนย์กลางธุรกิจและบริการระดับภูมิภาค