Header Ads

เกือบ 100 ปี รัฐธรรมนูญไทย...วันนี้ยัง สุ่มเสี่ยง...ซ้ำรอย

คอลัมน์ จับกระแสการเมือง / โดย สมศักดิ์ ไม้พรต / เว็บไซต์โลกธุรกิจ / เผยแพร่ 10 ธันวาคม 2567

วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีถือเป็นวันรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยก่อนหน้านั้นเรามีพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475

นับมาจนถึงปัจจุบันเรามีรัฐธรรมนูญทั้งฉบับชั่วคราวที่ใช้ในช่วงที่มีการก่อรัฐประหาร รัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ยกร่างและประกาศใช้หลังการรัฐประหารรวมแล้วทั้งหมด 20 ฉบับ

ว่ากันว่าไทยเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญประกาศใช้มากที่สุดในโลก

ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมา 92 ปี เกือบ 1 ศตวรรษ แต่ประชาธิปไตยของไทยก็ยังไม่หยั่งรากลึก ไม่เติบโต ไม่แข็งแรง 

        ยังสามารถถูกโค่นล้มลงได้ทุกเมื่อ...ที่ต้องการ

หลังการก่อรัฐประหารหลายครั้ง ทุกครั้งที่มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มักมีคำพูดทำนองว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย  นัยว่าจะไม่มีการก่อรัฐประหารยึดอำนาจอีก

แต่คำพูดนี้ไม่เคยเป็นจริง

แม้ปัจจุบันนี้ก็ไม่มีใครเชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้เมื่อปี 2560 หลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายของประเทศไทย

ยิ่งเมื่อมองดูสถานการณ์การเมืองที่เริ่มมีการก่อตัวเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยใช้เรื่อง MOU ไทย-กัมพูชา มาเป็นประเด็นเคลื่อนไหว

แม้เบื้องต้นของการเคลื่อนไหวให้เหตุผลว่าทำเพื่อกดกันให้รัฐบาลยกเลิก MOU ดังกล่าว

แต่บทเรียนในอดีตบอกชัดเจนว่าข้อเรียกร้องเดียวไม่เคยมีจริง

เพราะหลายครั้งที่มีการเคลื่อนไหว แม้รัฐบาลที่มีอำนาจในขณะนั้นจะยอมตามข้อเสนอ หรือยอมกระทั่งยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ การเคลื่อนไหวก็ยังดำเนินต่อและแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

โดยเฉพาะเมื่อมีรัฐประหารการเคลื่อนไหวจึงยุติ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

แม้หลายคนปรามาสว่าเป็นม็อบคนแก่ ไม่มีนายทุน ข้อเรียกร้องไม่มีน้ำหนัก จุดม็อบไม่ติด

แต่ความประมาทคือหนทางสู่ความหายนะ อย่างที่เคยหายนะ เคยพลาดมาแล้วหลายครั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังความขัดแย้งของฝ่ายการเมืองกับกองทัพในความพยายามแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่ฝ่ายทหารต้องการลดอำนาจฝ่ายการเมือง เพิ่มอำนาจตัวเองในการแต่งตั้งโยกย้าย เพิ่มอำนาจตัวเองในการใช้จ่ายงบประมาณ

ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็ต้องการเอาอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายโดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลมาอยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรี

แม้การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ดูแล้วอาจไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม

แต่ก็เป็นหัวเชื้อให้กันจนพาไปสู่สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ 

เหมือนที่หัวหน้าพรรคภูิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงมากเป็นอันดับสองรองจากพรรคเพื่อไทยที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมไว้ว่า

"ในส่วนของเรื่องอื่นยังไม่ทราบ แต่เรื่องจะแก้เพื่อสกัดปฏิวัติ ไม่เห็นด้วย เพราะเงื่อนไขการปฏิวัติมีอยู่ไม่กี่เรื่อง นักการเมืองก็ควรทำตัวให้ดี ซื่อสัตย์สุจริต รักษาความสงบ อย่าทำให้แตกความสามัคคีภายในบ้านเมือง เมื่อการเมืองไม่เข้าเงื่อนไขก็ปฏิวัติไม่ได้ ... ต่อให้ออกกฎหมายอะไรมา ถ้าเขาจะปฏิวัติ ประกาศแรกก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญ การแก้ไขทำไปก็อาจจะเป็นแค่แสดงสัญลักษณ์ แต่บังคับใช้อะไรไม่ได้ ดีที่สุดคือต้องทำตัวให้ดี อย่าทำตัวให้ไปเข้าเงื่อนไข ซื่อสัตย์สุจริต อย่าขี้โกง อย่าไปยุแยงให้ใครแตกสามัคคี อย่าไปลงถนนและทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง"

ตีความตามคำพูดของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็คงได้ประมาทว่า อย่าไปทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งก็น่าจะหมายถึงอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วจะแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมให้เกิดความขัดแย้งกับกองทัพเพื่อสร้างเงื่อนไขทำไม

ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร ทั้งเรื่องการเคลื่อนไหวนอกสภาให้ยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาถือธงนำทัพเอง และการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม

แม้จะดูว่าเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น เป็นเส้นขนาน

แต่เชื่อเถอะว่าถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่บริหารสถานการณ์ให้ดี

เส้นขนานสองเส้นนี้จะมาบรรจบกันได้ในที่สุด

Theme images by fpm. Powered by Blogger.