สังคมไทย "ได้ หรือ เสีย" อะไร? จากการ "มี หรือ ไม่มี" เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
ก่อนที่นายเศรษฐา ทวีสิน จะพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ มีกระแสข่าวว่ามีความพยายามอย่างเร่งด่วนจากคนภายในรัฐบาลที่จะผลักดัน "ร่าง พรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …" ให้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อที่จะส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
แต่ความพยายามนั้นก็ไม่สัมฤทธิ์ผล เนื่องจากมีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลบางพรรคแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดแจ้ง
เรื่องการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือสถานบังเทิงครบวงจร ซึ่งมีบ่อนการพนันอยู่ในนั้นด้วย มีความพยายามผลักดันกันมานานนับสิบปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่รัฐบาลก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
สาเหตุใหญ่น่าจะเป็นเพราะคนในสังคมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้
นอกจากการไม่เห็นด้วยของผู้คนในสังคมแล้ว ยังมีความเห็นแย้งทางวิชาการออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ที่โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ เครือข่ายนักวิชาการ ภาคประชาสังคม เด็กและเยาวชน และสื่อมวลชน จัดเวทีวิพากษ์ “ร่าง พรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …” หลังจากที่กระทรวงการคลังเปิดรับฟังความคิดเห็นออนไลน์ ระหว่าง 2 – 18 ส.ค. 2567 และประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลอย่างทั่วถึง
นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ระบุว่า มีข้อสังเกตต่อร่างพ.ร.บ.นี้ 3 ประเด็น คือ
1.ไม่ตรงปก
ที่บอกว่าจะเป็น Mega Project แบบสิงคโปร์ มีศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ โรงแรมระดับห้าดาว และห้างสรรพสินค้าครบวงจร มีหน่วยงานกำกับดูแลที่มั่นใจได้ และมีการป้องกันเยียวยาและลดผลกระทบ แต่เนื้อหาใน ร่าง พรบ. นี้กลับตัดหรือลดทอน รายละเอียดต่าง ๆ ลงไปมาก มีแค่ห้างและ โรงแรมเล็ก ๆ ก็ได้ไม่ต้อง 5 ดาว ศูนย์การประชุมนานาชาติไม่ต้องมี ที่สำคัญคือที่เคยบอกว่าจะมีหน่วยงานและมาตรการดูแลเพื่อลดปัญหาลดผลกระทบ กลับว่างไป หมวดกองทุนที่กมธ.ศึกษาเสนอไว้ก็ถูกตัดทิ้งทั้งหมวด
2. ตีเช็คเปล่า
ร่างนี้ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบาย หรือ Super Board อย่างล้นฟ้า รวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ จะออกใบอนุญาตให้ใคร ตั้งที่ไหน พื้นที่ขนาดเท่าไร จ่ายภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ และขจัดกฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้แทบทั้งหมด ที่สำคัญร่าง พรบ. นี้ตัดมาตรว่าด้วยการรับฟังความเห็นประชาชนผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ออกไป เอื้อทุนใหญ่
3. เอื้อกลุ่มทุน
โดยกำหนดว่าผู้รับใบอนุญาตต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 10,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องประมูล สัญญายาวไป 30 ปี เป็นทุนต่างด้าวก็ได้รับข้อยกเว้น แถมเปิดช่องให้ข้อยกเว้นทุกอย่างอยู่ภายใต้การอนุมัติของซุปเปอร์บอร์ด ที่น่าตกใจคืออนุญาตให้กาสิโนปล่อยเงินกู้ได้ด้วย ใครที่เข้ามาเล่นกาสิโนแล้วหมดตัวก็กู้ได้ด้วย แถมเป็นหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ร่างพ.ร.บ.จึงนับว่ายังมีจุดอ่อนอยู่มาก ยังไม่สมควรผ่านให้นำไปบังคับใช้
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส แสดงความเห็นว่า การที่รัฐบาลผลักดันให้เกิด ร่าง พรบ. กาสิโนถูกฎหมาย อาจเพราะคิดว่ารายได้จากธุรกิจกาสิโนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อีกทั้งนักการเมืองบางส่วนก็อาจจะอยากให้พื้นที่ของตนเองมีธุรกิจกาสิโนไปตั้ง เพราะเป็นการสร้างมูลค่าให้พื้นที่ตน จึงอยากจะใช้เวทีนี้ ถามกลับไปยังรัฐบาลว่า กาสิโนถูกกฎหมาย ช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยว กระตุ้นการลงทุนในประเทศ พัฒนาสังคมได้จริงหรือ ?? เพราะหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเมืองไทยเรามีศิลปวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วิถีชีวิต และ Street Food ที่มีแรงดึงดูดมาก โดยไม่ต้องไปตั้งอยู่ในสถานบันเทิงครบวงจรเลย และที่สำคัญ ร่าง พรบ. นี้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นแค่ทางออนไลน์ ดูเป็นการเร่งรีบทำมากกว่าที่จะเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับรู้อย่างแท้จริง จึงอยากจะฝากให้เครือข่ายภาคประชาชน นักวิชาการ ผู้นำทางศาสนา เครือข่ายเด็กเยาวชน และผู้หญิง ได้ออกมาแสดงบทบาท เคลื่อนไหว แสดงความคิดเห็นต่อ ร่าง พรบ. นี้อย่างเต็มที่
ขณะที่ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ตั้งคำถามต่อว่า รัฐบาลต้องการอะไรจากการผลักดันให้กาสิโนถูกฎหมาย ถ้าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ต้องมีการพัฒนาทั้ง 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว วารสารวิชาการของสหรัฐอเมริกา ตีแผ่ข้อเท็จจริงว่า ‘พื้นที่ใดที่มีแหล่งพนันถูกฎหมาย ประชากรในพื้นที่นั้นจะมีปัญหามากที่สุด ทั้ง หนี้ครัวเรือน สถาบันครอบครัวล่มสลาย อาชญากรรมเต็มเมือง’ นอกจากนี้ยังระบุอีกว่ามูลค่าที่เกิดจากกาสิโนได้ไม่คุ้มเสีย !!! เพราะ 1 ดอลล่าร์ที่ได้จากภาษีกาสิโน รัฐ USA ต้องเสีย 3 ดอลล่าร์ในการเยียวยาลดผลกระทบ และที่สำคัญในประเทศที่ยังมีปัญหาด้านคอร์รัปชั่นรุนแรง การบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยาน การให้มีกาสิโนจะทำให้เกิดหายนะที่ยิ่งใหญ่เป็นทวีคูณ จึงอยากจะถามไปยังรัฐบาลว่าประเทศไทยเราพร้อมแล้วหรือที่จะมีกาสิโนถูกฎหมาย เพราะส่วนตัวเห็นว่าเมืองไทยยังไม่มีความพร้อมใด ๆ เลย ณ ขณะนี้
รศ.ดร. นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน กล่าวว่า ร่าง พรบ. นี้ เริ่มต้นจะเป็นสถานบันเทิงครบวงจร แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ของ พรบ. กลับพูดถึงแต่ธุรกิจกาสิโน พอดูถึงเอกสาร “บัญชีแนบท้าย” ประเภทของธุรกิจสถานบันเทิง ที่พยายามลดขนาดและมาตรฐานของธุรกิจอื่น ๆ ทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ให้มาตรฐานลดลง และการยกเลิกกองทุนลดผลกระทบทางสังคม โดยไม่มีการตั้งหน่วยงานชัดเจนเข้ามาดูแลจริงจัง กลับปล่อยให้เป็นผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้สร้างผลกระทบมาเป็นผู้ดูแลผลกระทบเอง ซึ่งขัดต่อหลักการบริหารจัดการที่ดี อีกทั้งค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เรียกเก็บก็กำหนดไว้หลวม ๆ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพื่อเอื้อผลประโยชน์กับพรรคพวกของตนเอง เข้าข่ายการ ‘ตีเช็คเปล่า’ ร่าง พรบ. ฉบับนี้ดูจะคาดหวังให้เป็นคนในประเทศมาเล่นมากกว่านักท่องเที่ยว จึงอยากจะฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องให้ระมัดระวัง การทำธุรกิจกาสิโนต้องป้องกันไม่ให้คนในประเทศมาเล่นพนันจนเต็มเมือง เพราะสุดท้ายกรรมจะตกอยู่ที่ชาวบ้านและชุมชน ที่สำคัญ ถ้าจะยึดแบบสิงคโปร์โมเดล ในประเทศสิงคโปร์มีความเข้มงวดเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และไม่มีปัญหาคอร์รัปชั่น ส่วนประเทศไทยเรายังมีปัจจัยที่เป็นปัญหาเหล่านี้อยู่ การมีกาสิโนถูกฎหมายจึงเป็นการซ้ำเติมประเทศมากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแน่นอน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเห็นค้าน
คงต้องรอดูกันว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นคนรุ่นใหม่จะเอาอย่างไรต่อกับเรื่องนี้
จะ "เดินหน้าผลักดัน" หรือว่าจะ "ชะลอเอาไว้ก่อน"
ความจริงแล้วเรื่องการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ใช่นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว
เพราะถ้าประกาศเอาไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียงว่าจะทำเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นเรื่องเร่งด่วน ก็คงไม่ได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นแน่
น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จึงต้องชั่งน้ำหนักดูว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์มากน้อยเพียงใด
ที่สำคัญต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนถ่องแท้ว่ามากกว่าแค่ "ใคร? ได้ - ใคร? เสีย" จากเรื่องนี้
แต่ต้องพิจารณาถึงว่า สังคมไทยได้ และเสียอะไร จากการมีหรือไม่มี "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์"
---------------------------------
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง / เขียนโดย สมศักดิ์ ไม้พรต / เว็บไซต์ โลกธุรกิจ / เผยแพร่ 17 ส.ค.67