ศาล รธน. ลงมติ 5 ต่อ 4 "เศรษฐา" กระเด็นตกเก้าอี้นายกฯ
วันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 40 คน เข้าชื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่ เนื่องจากนายเศรษฐา เสนอชื่อ นายพิชิต เป็นรัฐมนตรี (กรณีนายพิชิต ศาลไม่รับพิจารณาเนื่องจากลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไปก่อนแล้ว)
สำหรับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญโดยสรุปคือ ศาลมีมติ 5 ต่อ 4 เสียง ให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว เนื่องจากการเสนอแต่ตั้งนายพิชิติ ซึ่งขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีอันเนื่องมาจากเคยถูกาลฎีกาสั่งจำคุก 6 เดือน ข้อต่อสู้ที่ว่าเป็นนักธุรกิจ ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีความรู้ข้อกฎหมาย ฟังไม่ขึ้น เพราะตามกระบวนการเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นรัฐมนมตรีต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และผู้ถูกร้องก็รับทราบขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติและยังรับรู้การส่งเรื่องไปถามคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายพิชิต จึงถือว่ารับรู้ รับทราบ การเสนอชื่อแต่งตั้งนายพิชิติเป็นรัฐมนตรีจึงเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว และเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากการดำรงตำแหน่งแล้ว คณะรัฐมนตรีทั้งหมดจึงสิ้นสุดลงตามกฎหมายด้วย (รายละเอียดคำพิพากษาตามเอกสารแนบท้าย)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อนายเศรษฐาพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งรายชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามบัญชีพรรคการเมืองเสนอไว้ตอนเลือกตั้งเหลือ 7 คนประกอบด้วย น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายจุริยทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลหลังทราบคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่า ขอบคุณศาลฯที่ให้โอกาสในการชี้แจง น้อมรับและเคารคำตัดสิน
"ยืนยันว่าตลอด 1 ปี หรือเกือบ 1 ปี ที่ทำหน้าที่หน้าทำงานเต็มที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอาตัวเองเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร สิ่งที่เสียใจมีอย่างเดียวคือการถูกกล่าวหาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีจริยธรรม แต่เมื่อตัดสินออกมาอย่างนี้ก็ให้ความเคารพ" นายเศรษฐา กล่าวพร้อมยืนยัน ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นบทเรียนราคาแพง หรือถูกใครวางยา เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความหวังดีต่อบ้านเมือง ยังมีคนเก่งๆ ที่จะเข้ามาทำงานให้บ้านเมืองอีกมาก ส่วนเรื่องนายกฯคนต่อไปก็ให้เป็นไปตามกระบวนการรัฐสภา ไม่ขอออกความเห็นเพราะไม่อยากถูกมองว่าไปกดดันใคร
เมื่อถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ว่านโยบายต่างๆจะไม่ถูกสานต่อ นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสิทธิของคนที่เข้ามาใหม่จะสานต่อหรือปรับเปลี่ยนอย่างไรก็ได้