Header Ads

"เพื่อไทย"ยันมาตรการกระตุ้นอสังหาฯไม่เอื้อนายทุน

        นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกวิจารณ์เอื้อนายทุนล้างสต็อกให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล  มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ ได้แก่

1) การส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยหรือประชาชนในวงกว้างสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้

2) การกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

3) การสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงไปสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไปพร้อมกัน เช่น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

โดยการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ 100% จะสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ 15-20% โดยจากการประเมินสต็อกอสังหาริมทรัพย์ที่คงค้างอยู่เกินกว่า 2 แสนยูนิตต่อปี การออกมาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็นมูลค่า 8 แสนล้านบาทต่อปี  “หน้าที่ของรัฐคือการส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่ดี การที่สินค้ามีปัญหาล้นตลาด เป็นหน้าที่ของรัฐในการเข้าไปช่วยหาตลาด เพื่อให้เกิดการระบายสินค้า ให้เงินที่จมอยู่จำนวน 8 แสนล้านบาทเกิดการหมุนเวียนขึ้นมาเป็นสภาพคล่องจะบอกว่ามันไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจคงเป็นไปไม่ได้ หรือการมองว่าเมื่อการระบายสต็อกเสร็จ แล้วทุกคน (ผู้ประกอบการอสังหาฯ) จะเอาเงินมากอดเก็บไว้  เป็นมุมมองแง่ร้ายเกินไปเพราะในทางปฏิบัติ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีผลกำไรที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น การขายแล้วจะเก็บเงินไว้ไม่ทำอะไร เป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราคาดหวังคือหลังจากการเปลี่ยนเงินที่จมให้เป็นสภาพคล่องแล้ว จะเกิดการลงทุนใหม่ตามมา ทั้งการจ้างงาน การซื้อสินค้า การก่อสร้าง เกิดผลกระเทือนทางเศรษฐกิจตามมา” นายชนินทร์กล่าว

ส่วนข้อกังวลว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์  อาจสร้างที่อยู่อาศัยโดยไม่สนใจสภาพตลาด ส่งเสริมให้เกิดวินัยที่ไม่ดี เมื่อมีปัญหา ก็จะมาขอให้รัฐบาลช่วยเหลือนั้น นายชนินทร์กล่าวว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อหดตัวตามไปด้วย จึงเป็นไปได้ที่อาจเกิดการประเมินสต็อกที่ผิดพลาดของเอกชน ซึ่งมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังมีความจำเป็นเพื่อการระบายสต็อก แต่ในระยะยาว มาตรการของบีโอไอ  ได้ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นกลไกในการชี้นำตลาด เพื่อให้เกิดการลงทุนที่สอดคล้องกับสภาพตลาดของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแต่ไม่มีสินค้ารองรับ และเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน

“มาตรการของรัฐไม่ได้กีดกันหรือเอื้อให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. และธนาคารออมสิน เข้ามาสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และพร้อมขยายวงเงินเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด คนทุกกลุ่มจะได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่กลุ่มฐานหรือกลุ่มระดับล่างเท่านั้น  ในขณะเดียวกันรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี มีการปรับปรุงก่อสร้าง บ้านพักข้าราชการ ดังนั้นนอกจากมาตรการนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยด้วย” ชนินทร์กล่าว

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือ 0.01% ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ประชาชน เพราะที่ผ่านมาบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีโปรโมชั่นฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนอยู่แล้วนั้น นายชนินทร์ กล่าวว่า โปรโมชั่นดังกล่าวเป็นการนำต้นทุนไปบวกรวมในราคาขายอยู่แล้ว การที่รัฐบาลลดค่าธรรมเนียมเหล่านั้น จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง เมื่อต้นทุนลดลงและมีกำไรส่วนต่างเพิ่มเติมเข้ามา กลไกตลาดเสรีจะทำให้ผู้ประกอบการแข่งขันลดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า ซึ่งจะมีส่วนทำให้ประชาชนเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น การที่มีมุมมองว่าควรให้ส่วนลดคืนประชาชนโดยตรงในลักษณะ Cash Back โดยไม่ต้องผ่านบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้น ไม่สามารถทำได้รวดเร็วตามหลักวิธีงบประมาณของรัฐ เพราะการจ่ายเงินออกจากรัฐต้องตั้งเป็นงบประจำปี และมีการวางแผนระยะยาว แต่การลดการจัดเก็บภาษีเป็นกลไกที่ฝ่ายบริหารสามารถทำได้ทันที

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมาตรการอื่นๆ ที่จะศึกษาเพิ่มเติม เช่น สิทธิการเช่าให้เกิดการลงทุน การลดขนาดพื้นที่จัดสรรสำหรับบ้านเดี่ยว จาก 50 ตารางวา ลงมาอยู่ที่ 35 ตารางวา เพื่อลดต้นทุนและทำให้คนเข้าถึงบ้านเดี่ยวได้มากขึ้น ซึ่งจะให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูรายละเอียด รวมถึงมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยก็จะมีเพิ่มเติมจากนี้เช่นกัน

นายชนินทร์ กล่าวว่า มาตรการที่ออกมาอาจถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงตลาด แต่ความจริงแล้ว กระบวนการแทรกแซงตลาดถือเป็น Government Intervention เป็นนโยบายปกติของการบริหารจัดการ เพราะรัฐบาลปัจจุบันเข้ามาในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องแทรกแซงเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศทางเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นเราต้องเชื่อมั่นในกลไกตลาดเสรีที่จะเกิดการแข่งขันราคา เราไม่ใช่ประเทศสังคมนิยม ที่จะบอกว่ารัฐต้องดำเนินการทุกอย่าง และให้เป็นไปตามนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเราก็จะพูดวนอยู่ที่เดิม

“การบริหารประเทศหรือการออกมาตรการต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจด้วย ไม่ใช่คิดว่าความเข้าใจจะเป็นการหาช่องเพื่อเอื้อประโยชน์ตัวเองเสมอไป แต่คือการออกมาตรการได้ตรงจุด และเกิดผล ซึ่งความคาดหวังของรัฐบาลจากมาตรการนี้ เชื่อว่าทำให้เกิดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 8 แสนล้านบาท สร้างผลกระเทือนทางเศรษฐกิจอีก 15-20% และส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP เพิ่มขึ้น 1.5% ที่สำคัญ เป็นการพลิกเงินเหล่านี้ขึ้นมาเป็นสภาพคล่อง ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาเงินลงทุนจากรัฐ และสร้างรายได้ส่วนอื่นตามมาอย่างแน่นอน” นายชนินทร์กล่าว

-----------------------

ที่มา พรรคเพื่อไทย : https://www.facebook.com/photo?fbid=1017560163072966&set=a.508934060602248

Theme images by fpm. Powered by Blogger.