Header Ads

6 เดือน 14 ประเทศ คาดดูดเงินทุนเข้าประเทศ 558,000 ล้าน

        เพจเฟสบุ๊ค พรรคเพื่อไทย (https://www.facebook.com/photo?fbid=1003590784469904&set=a.508934057268915) ชี้แจงการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ถูกโจมตีจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการอภิปรายโดยไม่ลงมติทำนองว่าไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ โดยระบุว่า

รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่งในช่วงเดือนกันยายน 2566  จนถึงวันนี้  ได้มุ่งมั่นทำงานเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน  สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างเม็ดเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ  ไปพร้อมกับการฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ในระหว่างที่รัฐบาลไม่มีงบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดิน 

การเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และคณะ ประกอบด้วย 4 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 

1.เข้าร่วมประชุมเวทีผู้นำโลก เพื่อแสดงจุดยืนและผลักดัน Global agenda เช่น การประชุม UN General Assembly ,APEC ,ASEAN - Australia เป็นต้น

2.หารือทวิภาคีกับผู้นำต่างประเทศกระชับความสัมพันธ์ทุกมิติ ทั้งการค้า เศรษฐกิจ ความมั่นคง ความยั่งยืน

3.แสดงวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแต่ละประเทศ 

4.สร้างความมั่นใจ ชักชวนการลงทุน สร้างความร่วมมือกับองค์กรและบริษัทชั้นนำของโลก

ตลอดการเดินทางของนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เดินทางแล้ว 14 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ ซาอุดีอาระเบีย ออสเตรเลีย พบปะหารือกับบริษัทชั้นนำกว่า 60 บริษัท โดยหลังจากการเยือนต่างประเทศ มีบริษัทเข้าหารือครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยกำลังผลักดัน ได้แก่ 

1.ยานยนต์สมัยใหม่ : ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า

2.อิเล็กทรอนิกส์ : ผู้ผลิต Semiconductor , PCB ฯลฯ 

3.ดิจิทัล : Data center,Cloud service

4.เกษตรกรรม อาหาร

5.การท่องเที่ยว

6.การเงินการลงทุน

7.อื่นๆ : Regional Headquarters รายสำคัญ 

หลังการ Roadshow ของนายกรัฐมนตรี และมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศ ไม่ต่ำกว่า 558,000 ล้านบาท ภายใน 3-10 ปี ในกลุ่ม 4 อุตสาหกรรม 

1.ดิจิทัล ~ 250,000 ล้านบาท

2.รถยนต์และชิ้นส่วน ~ 210,000 ล้านบาท

3.อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ~ 95,000 ล้านบาท

4.อื่นๆ ~ 3,000 ล้านบาท 

“จากการดำเนินการดังกล่าว เป็นผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บีโอไอได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9ปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน ไตรมาสสุดท้ายของปี 2566มูลค่า FDI ขยายตัวกว่า 145% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า” มล. ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าว 

“รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในภูมิภาค  ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีการออกมาตรการและการทำงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น ทั้งการดึงผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่ๆ ให้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย และการสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV ได้อย่างราบรื่น ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจากค่ายรถยนต์ต่าง ๆ อยู่ระหว่างขยายการลงทุน” นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์  เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าว

Theme images by fpm. Powered by Blogger.