Header Ads

5 สถาบันวิชาการจี้รัฐทุ่มงบกู้วิกฤตทักษะคนไทย

5 สถาบันวิชาการเสนอทางออกเร่งด่วน รัฐทุ่มลงทุนกู้วิกฤตทักษะคนไทยเป็นวาระแห่งชาติ เริ่มต้นที่คนไทยที่จบแค่ ม.3 กว่า 20 ล้านคนก่อน เชื่อมีโอกาสออกจากวิกฤตเช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ใช้เวลาแก้ปัญหาเพียง 3 ปี สามารถปรับทักษะ 17.5 ล้านคนสำเร็จ 

หลังจากที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ ธนาคารโลก (World Bank) ได้เผยแพร่ผลสำรวจทักษะและความพร้อมเยาวชนและประชากร วัยแรงงาน (ASAT) ในประเทศไทย พ.ศ. 2565 โดยพบว่า ไทยเผชิญวิกฤต เยาวชนและประชากรวัยแรงงานขาดแคลนทักษะหรือมีทักษะพื้นฐานชีวิต ได้แก่ 1) การอ่านออกเขียนได้ (literacy) 2) ทักษะด้านดิจิทัล (digital skill) และ 3) ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (sociomotional skill) ต่ำกว่าเกณฑ์ (Threshold Level) ‘ในสัดส่วนที่สูง’ โดยปัญหาดังกล่าวคาดว่าได้สร้างความ สูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20.1%

ล่าสุด 5 สถาบันวิชาการ ร่วมระดมสมอง หาทางออก ในเวทีวิชาการ “Fostering Foundation Skills in Thailand กู้วิกฤตทักษะคนไทย หลุดพ้น ความยากจน” เมื่อวันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ห้องสานพลัง กองทุนเพื่อ ความเสมอภาคทางการศึกษา อาคารเอส พี ชั้น 12 โดยเป็นการระดมสมองนัก วิชาการจากหลากหลายสถาบัน อาทิ กสศ. สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สถาบันนโยบาย วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม มจธ. คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ฯลฯ เพื่อวิเคราะห์นโยบายจากต่างประเทศในการพัฒนาทักษะพื้น ฐานชีวิตทุกช่วงวัยที่ประสบความสำเร็จ และหารือกันถึงทางออกในการกู้วิกฤต ทักษะคนไทย

ดร.สมชัย จิตสุชน

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การกู้วิกฤตทักษะคนไทยต้องทำเป็น ระบบใหญ่ จริงจังและทุ่มเททรัพยากร ตัวอย่างรูปธรรมสำคัญ เช่น การทำ National Skill Program เป็นวาระแห่งชาติ โดยโปรแกรมนี้ต้องมีลักษณะเป็นขนมชั้น 3 ชั้น เริ่มจากชั้นกลางคล้ายกับที่อินโดนีเซียทำ คือมีคูปอง มีระบบกลไกตลาดให้คนที่รู้เรื่องทักษะจริงหรือรู้ว่าตลาดต้องการอะไรเป็น Suply Side เป็นผู้แจกคูปองเป็นทักษะเฉพาะทาง ทักษะอาชีพต่าง ๆ เรื่องนี้ต้องทำขนานใหญ่ ต้องกล้าลงทุน อินโดนีเซียทำเรื่องนี้เริ่มต้น 5 ล้านคน ของไทยต้องวางเป้าหมายมากกว่านั้น อาจกำหนดกลุ่มเป้าหมายเลยว่าคนไทยทุกคนที่เรียนไม่เกิน ม.3 ความรู้ไม่มากนัก ตามโลกไม่ทัน เข้าใจว่าน่าจะมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านคน แน่นอนว่าต้องค่อย ๆ เริ่มและมีการประเมินระหว่างทาง โดยประเภทของทักษะอาจเป็นเฉพาะทางก็ได้ แต่ต้องมีความหลากหลายรองรับเพียงพอ ส่วนชั้นล่าง หรือชั้น 1 ควรมีโครงการที่เป็น Skill Program ที่ส่งเสริมเรื่องทักษะพื้นฐานชีวิตให้กับทุกคน ‘ชั้นกลาง’ หรือ ทักษะเฉพาะทาง สำหรับ ‘ชั้นบน’ ต้องเป็นพื้นที่เฉพาะของกลุ่มเปราะบาง เช่น ประชากรนอกระบบ เด็กที่ออกนอกระบบ กลุ่มคนจน 15% ล่างสุดของประเทศ คนพิการ ผู้สูงอายุ ฯลฯ กลุ่มนี้ต้องการการดูแลพิเศษด้วยโปรแกรมที่ออกแบบเฉพาะ โดยการเสริม Foundation Skills ที่ โยงกับกลุ่มคนยากจนขาดแคลนโอกาสที่สุด 

ถ้าเป็นไปได้ควรเป็น 3+2 ได้แก่ ทักษะดิจิทัล ทักษะรู้หนังสือ และทักษะอารมณ์และสังคมแล้วควรเพิ่ม ‘ความรู้ ทางการเงิน’ financial literacy และมีตัวย่อยคือ ‘ความรู้ในการลงทุน’ (Investment literacy) เพราะนอกจากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ความรู้ในการลงทุนจะลดการใช้จ่ายเงิน ลดการซื้อหวย ลดการดื่มเหล้า จะทำให้เงินนี้ออกดอก ออกผลได้ นอกจากนี้ยังมีตัวแถมที่สาม คือเรื่องสุขภาพและมาตราเสริมเรื่อง อินเทอร์เน็ต โดยการมีอินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับคนกลุ่มเปราะบาง เพราะจะเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้อย่างมาก 

        ดร.สมชัย กล่าวว่า คำถามที่ว่าเราต้องลงทุนอย่างไรหรือใช้ทรัพยากรเท่าไหร่เพื่อกู้วิกฤตทักษะประชากร คำตอบคือ ‘ใช้ให้เต็มที่ที่สุด’ แต่ใจความสำคัญคือเรา ต้องใส่อย่างชาญฉลาด ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

“ผมคำนวณดู อินโดนีเซียใช้ 9,000 บาทต่อคน ลองใช้ตัวเลขนี้กับคนไทยด้วย ตัวเลขผู้ที่การศึกษาต่ำกว่า ม. 3 ราว 20 ล้านคน ใช้เงินน่าจะไม่ถึงแสนล้าน จริง ๆ อาจไม่ต้องใช้ถึงแสนล้าน เพราะทักษะแบบนี้โดยหลักการไม่จำเป็นต้องถูกฝึกใหม่ทุกปี ดังนั้นงบประมาณจะประมาณ 60,000 ล้าน ประเด็นเรื่องเวลา คนจน ไม่มีเวลาเรียนถึง 16 ปี ถ้าเราทำ platform ดี ๆ เด็กจากครอบครัวยากจนเรียน 6 ปี ไม่ถึง 10 ปี สามารถเก่งเรื่องทักษะพื้นฐานชีวิต ก็สามารถหาความรู้ด้วยตัวเอง ได้” ดร.สมชัย กล่าว

ดร.แบ๊งค์ งามโชติอรุณ

ดร.แบ๊งค์ งามโชติอรุณ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ประเทศอินโดนีเซียสามารถพัฒนาทักษะแรงงานหลังวิกฤตโควิด19 ระบาดด้วย โครงการชื่อ Kartu Prakerja (Pre-employment card) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า Prakerja โดยโครงการนี้ คือ ความร่วมมือที่ภาครัฐและเอกชน ช่วยกันสร้างเครื่องมือพัฒนาทักษะแรงงานที่สามารถแรงจูงใจให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอยากเข้ามาเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะของตัวเองอย่างเป็นระบบ และ ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สามารถปรับทักษะของประชาชนได้มากถึง 17.5 ล้านคน ในเวลาเพียง 3 ปี และเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตโควิด19

ดร.แบ๊งค์ กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจ คือ โครงการนี้สามารถสร้างทักษะที่ ครอบคลุมและเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชน สามารถสร้างระบบ ตลาดความรู้หรือแพลตฟอร์ม (Platform and Marketplace) ที่มีคุณภาพช่วย จัดการเรียนรู้ ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ มีระบบคัดสรรผู้ให้บริการอบรมทักษะ ทั้งภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน โดยระบบดังกล่าวมีความยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจ มีระบบฐานข้อมูลประชาชนแยกตามรายได้ และข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการประเมินทักษะก่อนเรียน และแนะนำวิชาเรียนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกเรียนอะไรหรือปรับทักษะใด และสามารถสร้างแนวทางกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมเรียนจนจบหลักสูตรและสอบผ่าน โดยการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินเครดิตทุนการศึกษาให้กับผู้สอนเพียง 30% และกำหนดให้ได้รับเครดิตอีก 70% ได้หากสามารถผลักดันให้ผู้เรียนสามารถเรียนจนจบหลักสูตรและสอบผ่านมีการจ่ายเงินให้ผู้เรียนเพื่อระบบประเมินและติดตามผล

“หลังดำเนินโครงการ Prakerja เพียงปีเดียว ก็สามารถสร้างกลไกในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อยู่ล่างสุดของสังคม และดึงเอกชนมาร่วมทำงานมีผู้ผลิตเนื้อหามากถึง 181 หน่วยงาน สามารถสร้างสรรค์วิชาทั้งสิ้น 1,957 รายการ สำหรับผู้เรียนราว 5.9 ล้านคนต่อปี” ดร.แบ๊งค์กล่าว

คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. ระบุว่า เวลาพูดถึงภาพรวมระบบการศึกษาจะพูดถึงเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในโรงเรียนภายใต้ระบบการศึกษาภาคบังคับ 15 ปีเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8 ล้านคน แต่ไทยยังมีเด็กเยาวชนวัยแรงงานที่อยู่นอกรั้วโรงเรียน จำนวนมากถึง 20.2 ล้านคน และมีกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการ ศึกษา ไม่อยู่ในระบบการจ้างงาน อยู่บ้านเฉย ๆ เรียกว่ากลุ่ม NEET (Youth not in education , employment , or training) ราว 1.3 ล้านคน หรือราว 14.8% การจะทำให้ไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางนโยบายต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคนทุกช่วงวัยแผนการพัฒนาการศึกษาต้องมีมุมมองกว้างกว่าเขตรั้วโรงเรียน การศึกษาตลอดชีวิตเรื่องการทำงานต้องมีการเชื่อมโยงทั้ง แนวตั้ง เช่น หน่วยจัดการเรียนรู้มาตรฐาน การประเมิน คุณภาพผู้สอน และแนวนอน เช่น หน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ รัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น หลักสูตร โอกาสของตลาดแรงงาน

“โจทย์นี้ใหญ่มาก คงทำงานด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ ไทยต้องมีหน่วยงานเจ้าภาพที่มาทำเรื่องนี้เหมือนอินโดนีเซียที่มี Prakerja เป็นเจ้าภาพ ทำงานกับดีมานด์ซัพพลาย ใช้กลไกตลาดสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนอยากปรับทักษะ มีการคัดเลือกหลักสูตรต่าง ๆ เชื่อมโยงการทำงานทั้งแนวนอนและแนวตั้งคือทำทุกช่วงวัย มองตั้งแต่เด็กเยาวชนที่อยู่ในระบบ 15 ปีแรก จนถึงกลุ่มที่ต้องมีชีวิตอยู่อีก 50 ปีหลัง การออกแบบกลยุทธ์ของประเทศไทยต้องมีการเชื่อมต่อกันระหว่างช่วงวัยและระบบการศึกษาลักษณะต่าง ๆ ทั้ง ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา อุดมศึกษาและอื่น ๆ”


Theme images by fpm. Powered by Blogger.