Header Ads

ใคร?..จะรับไม้ต่อ


        หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีที่มีคนฟ้องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลว่า

"การเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 เลิกการกระทำ เลิกแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิก มาตรา112  อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ มาตรา 112 ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติ โดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2"

คอการเมืองต่างเห็นตรงกันว่าคำตัดสินนี้จะเป็นสารตั้งต้นเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค พ่วงตัดสิทธิ์ส.ส.ที่เคยร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 เมื่อปี 2564 ต่อไป

แม้ขั้นตอนกว่าจะไปถึงจุดนั้นอาจใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าแค่ดูไตเติ้ลก็มองเห็นตอนจบ ไม่มีอะไรต้องลุ้นระหว่างทาง

คำถามคือเมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคและส.ส. 40 กว่าคนที่ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขถูกตัดสิทธิ์แล้วจะยังไงต่อ

แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนคิดและเห็นตรงกันคือยุบได้ก็ตั้งพรรคใหม่ได้

เหมือนตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ก็เกิดพรรคก้าวไกล

จริงอยู่ว่าการตั้งพรรคใหม่ไม่ยาก

แต่ที่ยากกว่าคือจะหาใครมาถือธงนำพรรค  นำการต่อสู้

แม้จะมีคนพร้อมถือธงนำมากมาย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคนที่จะมาเป็นตัวแสดงนำสามารถเรียกคนดูได้หรือไม่ หรือเรียกคนดูได้มากน้อยเพียงใด

นักแสดงนำรุ่นแรกที่มีแฟนคลับมากมายอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กว่าจะพ้นโทษตัดสิทธิ์ 10 ปี ต้องรอไปถึงพ.ศ.2573 นับนิ้วดูก็อีกเกือบ 6 ปีเต็ม

ระหว่างรอจะเอาใครมาเป็นคนนำทัพแทนเพื่อหล่อเลี้ยงเสียงสนับสนุน รักษาฐานมวลชน เพราะแถวสองอย่างกลุ่มก้อนของนายพิธา ยังต้องรอลุ้นอนาคตก่อนว่าจะโดนตัดสิทธิ์แค่ 10 ปีหรือตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตหากไปเข้าหลักเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงที่จะมีคนส่งไม้ต่อให้ป.ป.ช.สอบเอาผิด

การจะหาคนที่มีมวลชนสนับสนุน คนที่ได้รับนิยมชมชอบเท่ากับนายธนาธรและนายพิธาใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ

กว่าจะสร้างคนขึ้นมาใหม่ กว่าจะมีแสงในตัวเองต้องใช้เวลา

แม้จะบอกว่า อนาคตใหม่ ก้าวไกล ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นอุดมการณ์ที่ "ฆ่าไม่ตาย"

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นกันว่า "อุดมการณ์" มีขอบเขตจำกัดในตัวเอง ถึงเวลาจวนตัวโยนอุดมการณ์ใส่ลิ้นชักพื่อเอาตัวรอดมีให้เห็นกันมาตลอด ซึ่งเชื่อว่าผลจากคำตัดสินครั้งนี้น่าจะมีคนถอยจากซ้ายจัดมาเป็นซ้ายกลางแบบเพื่อไทยค่อนข้างมากเพราะเป็นหนทางที่เซฟตัวเองให้เดินบนนถนนการเมืองต่อไปได้

ที่สำคัญคนที่จะมาถือธงนำจะมีแต่มีอุดมการณ์อย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องมีแสงในตัวเองด้วย เพราะถ้าไม่มีแสงก็คงหาคนมาร่วมทางได้จำกัด

ชัดเจนว่าการทำหมันฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าครั้งนี้ แม้ "ฆ่าไม่ตาย" แต่ก็ "บอนไซ" ไปได้อีกพักใหญ่ๆ กว่าจะกลับมาแข่งแกร่งเติบโตได้อีกครั้งต้องใช้เวลานานหลายปี

อย่างน้อยการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ทำให้ฝ่ายอำนาจนิยมเบาใจได้ว่าถึงไม่มีส.ว.ลากตั้งมาช่วยค้ำจุ้นอำนาจเพราะจะหมดวาระในเร็วๆนี้แล้ว

แต่ "ก้าวไกล" ในร่างใหม่ก็คงเป็นได้แค่ก้อนกรวดในรองเท้า ที่อาจทำให้เกิดความรำคราญบ้าง แต่ไม่มีพิษสงที่จะทำอันตรายอะไรไปได้มากกว่านั้น

-------------------------------------

จับกระแสการเมือง : เขียนโดย / สมศักดิ์ ไม้พรต

Theme images by fpm. Powered by Blogger.