"นิด้าโพล"พบประชาชนไม่ติดใจหากยกเลิกแจกเงินหมื่น
ศูนย์สำรวจควำมคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชำชน เรื่อง“วิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” ทำการสำรวจระหว่ำงวันที่ 22-24 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอำยุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้รวมทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่างเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีข้อมูลตัวอย่างหลัก (MasterSample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจ
เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 63.51 ระบุว่า
เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน รองลงมา ร้อยละ 20.15 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่
ต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ10.08 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ไม่น่าวิตกกังวลใด ๆ ร้อยละ 5.65 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจและร้อยละ 0.61ระบุว่าไม่ทรำบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.72ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจำกรัฐบาลอย่างเร่งด่วน รองลงมาร้อยละ 31.91 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง ร้อยละ 20.45 เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่เร่งด่วน และร้อยละ 10.92 ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจใด ๆ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บสท ร้อยละ 34.66 เห็นว่าควรหยุดดเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ 33.66 เห็นว่าควรดำเนินนโยบายต่อไปตามที่ประกาศไว้ ร้อยละ 18.55 ดำเนินนโยบายต่อปแต่แจกให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง ร้อยละ 5.88 เห็นว่าควรเลื่อนไปทำในปีหน้า ร้อยละ 4.58 ให้เลื่อนไปปีหน้าและแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
ร้อยละ 2.67ไม่ทราบ ไม่สนใจ
เมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่ำ ร้อยละ 68.85 ไม่โกรธเลย ร้อยละ 12.37 ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.39 โกรธมาก ร้อยละ 8.85 ไม่ค่อยโกรธและร้อยละ 0.54 ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อพิจารณาจากลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 อยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 อยู่ภาคเหนือ ร้อยละ33.44 ภาคอีสาน ร้อยละ 13.74 ภาคใต้และร้อยละ 7.71อยู่ภาคตะวันออก ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชายและร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปีและร้อยละ 23.74 อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 95.95 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ3.59 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์และอื่น ๆ ตัวอย่ำง ร้อยละ 36.18 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.83 สมรส และร้อยละ 1.99 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ร้อยละ 24.50
จบการศึกษาประถมศึกษำหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.18 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.31 จบอนุปริญญำหรือเทียบเท่า
ร้อยละ 25.73 จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ4.28 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 8.47 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ17.02 ประกอบเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ21.76 เป็นเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.99 เป็นเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.11 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.85 พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงานและร้อยละ5.80 เป็นนักเรียน/นักศึกษา กลุ่มตัวอย่ำง ร้อยละ 23.36 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 19.24 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.31 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.39 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 3.13 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.43 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 11.14 ไม่ระบุรายได้