Header Ads

งบปี 67 กว่า 3.48 ล้านล้านบาทผ่านสภาวาระแรกแล้ว


พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ นายกฯยันจะใช้ทุกบาททุกสต่างค์อย่างมีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายให้คุ้มค่ากับภาษีประชาชน

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567  วงเงินกว่า 3.48 ล้านล้านบาท ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2567 ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา

ก่อนการลงมตินายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายสรุป โดยระบุว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไทยกินบุญเก่าจากผลงานงานสมัยพรรคไทยรักไทยมานาน แต่วันนี้บุญเก่าอาจส่งมาไม่ถึง เพราะว่ามีพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังคอยกำกับการใช้งบประมาณอยู่ ทำให้ใช้งบได้ไม่คล่องเหมืออนในอดีต

"ถ้าจะร้างผลงานจะต้องจัดทำงบประมาณแบบปรกติ แต่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณที่กำลังพิจารณากันอยู่นี้ไม่ได้สะท้อนการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติวินับการเงินการลัง วิกฤติความสามารถทางการแข่งขัน วิกฤติสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่อง PM 2.5 หรือเรื่องไฟป่าที่หน่วยงานท้องถิ่นขอมารวม  1.7 พันล้าน แต่รัฐบาลกลับจัดสรรให้เพียง 50 ล้านบาท แม้แต่เรื่องน้ำแล้งยังจัดงบประมาณกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ชลประทาน ขณะกรมทรัพยากรน้ำ กรมน้ำบาดาล และกรมพัฒนาที่ดิน ที่มีความสำคัญในการพัฒนาแห่งน้ำนอกเขตชลประทานได้งบน้อยมาก"

ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า วิกฤติความเหลื่อมล้ำ เบี้ยยังชีพคนชราไม่เพิ่มขึ้น เงินเด็กเล็กจัดสรรไม่ถ้วนหน้า เบี้ยสนับสนุนคนพิการก็ถูกตัด วันนี้คนไทยมากกว่า 5 ล้านคนไม่มีบ้านเป็นของตัวเองจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น ไม่สอดคล้องกับค่าแรงที่ไม่ขึ้นตาม แต่งบประมาณด้านความเสมอภาคทางสังคมก็ยังคงตั้งเหมือนเดิม และยังคงใช้ตัวชี้วัดเหมือนเดิมที่ทำมาทุกปี ขณะที่งบท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลก็ต่ำลงเหลือ 29.1% ยังไม่นับรวมวิกฤติทรัพยากรมนุษย์ วิกฤติแรงงานที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาด วิกฤติสังคมสูงวัย แต่ปี 2567 ไม่มีการจัดสรรงบด้านนี้อย่างดีเพียงพอ

"โดยรวมแล้วต้องบอกว่ารัฐบาลจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตรงปกหลายวิกฤติหลายปัญหาไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ  สิ่งเกล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการจัดทำงบประมาณที่ถึงเวลาแล้วต้องมีการปฏิรูปกระบวนการจัดทำใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลมีข้อเสนอดังนี้คือต้องเอาจริงกับการปฏิรูปกระบวนการจัดทำงบประมาณให้โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม ต้องปฏิรูปกระบวนการอนุมัติงบประมาณในสภาผู้แทนราษฎรหรือในคณะกรรมาธิการวิสามัญใหม่ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ต้องวางหลักเกณฑ์การตั้งงบใหม่ไม่ปล่อยให้ต่างคนต่างตั้งงบของตัวเองซึ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อนไม่มีประสิทธิภาพ ต้องจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ (zero-based budgeting)  การจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ใหม่ขึ้นทุกปี จะทำให้การจัดสรรงบประมาณรับมือความท้าทายใหม่ๆ ได้

และจัดสรรงบประมาณแบบภารกิจนำ (Mission-Oriented) เน้นผลลัพธ์ที่มุ่งเป้าให้ประเทศบรรลุให้ได้อย่างน้อย 1 ภารกิจ  หนึ่งภารกิจอาจมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การจัดโครงการควรเป็นไปตามภารกิจ ขีดเส้นแบ่งให้ชัดว่าอะไรเป็นภารกิจพื้นฐานที่หน่วยงานทำอยู่แล้วและเกี่ยวข้อง กับโครงการที่รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มและออกแบบมาตรการเชิงนโยบาย

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมก่อนการลงมติว่า ในนามรัฐบาลขอขอบคุณทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่รัฐบาลเสนอ  แม้การจัดทํางบฯปีนี้จะทำภายใต้เวลาเร่งด่วน ทั้งมีงบประจํา งบผูกพันที่รัฐบาลนี้จะต้องดูแลอย่างเป็นธรรม และมีวงเงินที่จํากัด แต่รัฐบาลยังคงให้ความสําคัญกับการมุ่งทําให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการดําเนินนโยบายที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งระยะสั้น และระยะยาว

"ไฮไลท์สําคัญของงบประมาณที่เรากำลังพิจารณาคือ 4เพิ่ม 1 ลด ครับ โดย 4 เพิ่มคือ จัดงบประมาณเพิ่มขึ้น, เพิ่มเงินลงทุน, เงินคงคลังเพิ่มขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้น ส่วน 1 ลด คือ รัฐบาลจะการขาดดุลลงผมมั่นใจครับ แม้เราจะเหลือระยะเวลาในการใช้งบฯ 67 ไม่นาน แต่รัฐบาลจะใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ใช้อย่างรู้คุณค่า และมีเป้าหมาย ให้คุ้มกับเงินภาษีของประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์ครับ"

หลังนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อที่ประชุมจบนายวันมูฮะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สมาชิกกดบัรแสดงตนเพื่อนับจำนวนผู้เข้าประชุมก่อนการลงมติซึ่งมีส.ส.ผู้แสดงตนทั้งหมด 492 คนจากนั้นจึงกดบัตรลงคะแนนผลปรากฎว่ามีผู้เห็นด้วย 311 เสียง ไม่เห็นด้วย 177 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และได้มีการเสนอรายชื่อแต่งตั้งส.ส.ร่วมเป็นคณะกรรมการธิการวิสามัญพิจารณาแปรญัตติร่างพ.ร.บ.งบประมาณทั้งสิ้น 72 คน โดยมีสัดส่วนดังนี้คือตัวแทนคณะรัฐมนตรี 18 คน พรรคก้าวไกล 16 คน พรรคเพื่อไทย 15 คน พรรคภูมิใจไทย 8 คน พรรคพลังประชารัฐ 5 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรคประชาชาติ 1 คน และพรรคไทยสร้างไทย 1 คน โดยคณะกรรมาธิการฯมีเวลาแปรญัตติ 30 วัน โดยจะเริ่มประชุมนัดแรกวันที่ 8 มกราคมนี้

Theme images by fpm. Powered by Blogger.