Header Ads

จับตาอนาคต “วราวุธ” หลังลดสถานะจากแม่ทัพไปเป็นกำลังเสริมให้ภูมิใจไทย

คอลัมน์ จับกระแสการเมือง / โดย สมศักดิ์ ไม้พรต / เว็บไซต์ โลกธุรกิจ / เผยแพร่ 25 พฤศจิกายน 2568

        เมื่อปี่กลองการเมืองเริ่มเชิดรัว อันเป็นสัญญาณของการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง นักการเมืองย่อมมองหาทางเลือก ทางรอด ทางออก ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเพราะไม่มีใครอยากเป็น สส.สอบตก การจะสวมเสื้อพรรคไหนลงสมัครรับเลือกตั้งจึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของตัวเอง

ลำพัง สส. ธรรมดาย้ายพรรคไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ถ้าถึงขนาดหัวหน้าพรรคทิ้งพรรคที่บิดาสร้างและทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดก หอบ สส.ในทีมไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ย่อมไม่ใช่การตัดสินใจทางการเมืองระดับธรรมดาทั่วไป

การตัดสินใจทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนาไปสังกัดพรรคภมิใจไทยของ “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา จึงเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจยิ่ง

น่าสนใจว่าทำไมเลือกมาพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยตามจีบให้ไปทำงานร่วมด้วย โดยมีตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเป็นโบนัสตอบแทน

น่าสนใจว่าทำไม นายวราวุธ กล้าทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่มีบทบาทยาวนานในสภาไทยกว่า 3 ทศวรรษ และถือเป็นหนึ่งใน “บ้านใหญ่เชิงสัญลักษณ์” ของการเมืองภูมิภาค โดยเฉพาะสุพรรณบุรี และภาคกลางตอนล่างบางพื้นที่

คำถามใหญ่หลังการขยับตัวของนายวราวุธ คือ พรรคชาติไทยพัฒนาจะเดินต่อไปแบบไหน? 

        ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคจะยังมีที่ยืนหรือไม่? 

        นายวราวุธจะอยู่กับภูมิใจไทยยาวๆ แบบไปแล้วไปลับไม่กลับ หรือเป็นเพียงความร่วมมือเฉพาะกิจเพื่อความอยู่รอดระยะสั้น?

อย่างไรก็ตามหากมองจากสายตาคนนอก 

        การย้ายพรรคของ นายวราวุธ อาจเป็นเรื่องแปลก แต่หากมองจากมุมของนายวราวุธ อาจเป็นเรื่องปรกติธรรมดาทางการเมือง เพราะต้องเลือกทางที่ทำให้ตัวเองและพวกพ้องอยู่รอด มีที่ยืนทางการเมืองต่อไป เพราะการเมืองยุคนี้พรรคเล็กอยู่ยาก การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งต้องใช้ทรัพยากรสูงขึ้นเรื่อยๆ การไปอยู่กับพรรคใหญ่ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้

ที่สำคัญสนามเลือกตั้งในจังหวัดสุพรรณบุรีฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยที่นายบรรหาร ศิปอาชา ยึดครองพื้นที่อยู่

ถ้าขืนสู้ต่อในสีเสื้อเดิมอาจแพ้คาบ้านให้กับคู่แข่งที่ตีกินพื้นที่ได้มาขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะได้ สส.มาบ้างแต่จะทำให้อำนาจต่อรองทางการเมืองไม่มีในกรณีได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล จากรัฐมนตรีว่าการอาจได้เป็นแค่รัฐมนตรีช่วย

ยิ่งหากมองในมุมที่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาไม่อาจถูกปลุกให้เติบโตทางการเมืองได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว ยิ่งทำให้เข้าใจได้ง่ายว่าทำไมนายวราวุธจึงต้องยอมทิ้งพรรคที่นายบรรหารผู้เป็นบิดาสร้างมา

ส่วนอนาคตของพรรคชาติไทยพัฒนา แม้จะยังคงสภาพมีสถานะเป็นพรรคการเมืองอยู่

แต่ก็คงเป็นการอยู่เพื่อรอวันดับแสง

สุดท้ายการดำรงอยู่บนเส้นทางการเมืองของนายวราวุธและพวกพ้อง ก็จะเป็นการดำรงอยู่บนถนนการเมืองเหมือนกับอีกหลายตระกูลการเมืองคือเป็นการดำรงอยู่ในสถานะ “บ้านใหญ่” ไม่ลงหลักปักฐานกับพรรคการเมืองใดเป็นหลักแหล่ง

ถึงฤดูเลือกตั้งก็ตัดสินใจกันตามหน้างานในช่วงนั้นๆ ว่าอยู่กบพรรคไหนแล้วมีโอกาสกลับเข้าสภาได้มากสุด มีโอกาสได้ตำแหน่งทางการเมืองมากที่สุดก็จะเลือกอยู่กับพรรคนั้น

ไม่ต่างจากกลุ่มนักการเมือง “บ้านใหญ่” กลุ่มอื่นๆ ที่ย้ายพรรคแทบจะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

Theme images by fpm. Powered by Blogger.