“ชยพงศ์” จี้ ศธ.เร่งปรับการสื่อสารนโยบาย หลังหนังสือขอ ‘งดกิจกรรมรื่นเริง’ ก่อความสับสนในวงการศึกษา
จากกรณีที่มีการเผยแพร่หนังสือ “ด่วนที่สุด” ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงนามโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงสวรรคต” โดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัด งดจัดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อแสดงความอาลัย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้มีหนังสือถึงผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนให้ ลดธงครึ่งเสา 30 วัน และปรับรูปแบบกิจกรรม “รื่นเริง” ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวได้สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่ผู้ปกครองและสถานศึกษา จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
นายชยพงศ์ สายฟ้า นักบริหารการศึกษา และรองหัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้อง เร่งปรับปรุงการสื่อสารเชิงนโยบาย ให้มีความชัดเจนและเป็นเอกภาพ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติของโรงเรียนในสังกัด
“ศธ.เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ยิ่งต้องมีระบบการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย และมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพราะหากเกิดความคลุมเครือ นโยบายย่อมบิดเบือน และผู้เรียนจะเป็นผู้สูญเสียโอกาสโดยตรง” นายชยพงศ์ กล่าวพร้อมเตือนด้วยว่า ผู้มีอำนาจในกระทรวงต้องมี ความรอบคอบและรัดกุมในการสั่งการ เพราะความผิดพลาดทางการสื่อสารในประเด็นละเอียดอ่อนเช่นนี้ “ไม่สามารถผิดได้เลย” โดยเฉพาะเมื่อนโยบายเกี่ยวข้องกับ “รากฐานทางการศึกษาของชาติ”
นายชยพงศ์ ยังเสนอให้โรงเรียนใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น นิทรรศการโครงการศิลปาชีพ การอนุรักษ์โขนพระราชทาน การส่งเสริมผ้าไทย หรือการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ป่าและต้นน้ำ เพื่อให้นักเรียนได้ทั้งความรู้และความสำนึกในพระราชจริยวัตร
รองโฆษกพรรคไทยก้าวใหม่ เรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ กระจายอำนาจสู่โรงเรียนมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการตามบริบทของพื้นที่ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ลดการรอคำสั่งจากส่วนกลาง และทำให้นโยบายขับเคลื่อนได้จริงในระดับปฏิบัติ
รองโฆษกพรรคไทยก้าวใหม่ เรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ กระจายอำนาจสู่โรงเรียนมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการตามบริบทของพื้นที่ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ลดการรอคำสั่งจากส่วนกลาง และทำให้นโยบายขับเคลื่อนได้จริงในระดับปฏิบัติ



