ไทย-กัมพูชา สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ กับราคาที่ต้องจ่าย
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง..โดย นายนิรนาม..เว็บไซต์ โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 29 กรกฎาคม 2568
เมื่อเพื่อนบ้านกลายเป็น "แนวหน้า"
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยกับกัมพูชาแม้จะมีแรงเสียดทานเกิดการกระทบกระทั่งกันบ้างในบางช่วงบางตอน แต่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจกลับเติบโตสวนทาง โดยเฉพาะการค้าชายแดน แรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทยที่มีส่วนช่วยเพิ่มการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม
แต่ความขัดแย้งล่าสุดที่ลุกลามจนกลายเป็นการปะทะกันทางทหารบริเวณชายแดน ได้แปรเปลี่ยนจากข้อพิพาทเล็กน้อยเป็น ภัยคุกคามระดับภูมิภาค ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยโดยตรง
การค้าชายแดนที่ชะงักงัน : โซ่ข้อแรกที่หลุดออกจากห่วงโซ่อุปทาน
การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงปกติ มีมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาทต่อปี โดยด่านสำคัญคือ อรัญประเทศ (สระแก้ว) ช่องจอม (สุรินทร์) และช่องเม็ก (อุบลราชธานี) การปิดด่านการค้า ส่งผลให้สินค้าจากไทย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรกลการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมเบา ไม่สามารถส่งออกได้ ห่วงโซ่อุปทานในฝั่งกัมพูชา เริ่มขาดแคลนสินค้า ทำให้เกิดแรงกดดันจากฝั่งกัมพูชาที่ต้องหันไปพึ่งพาจีนหรือเวียดนามแทน ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูญเสียตลาดและต้องแบกรับต้นทุนสนค้าคงคลัง
การฟื้นฟูไม่ใช่เรื่องง่าย แม้สงครามจะยุติในภายหลัง แต่ความเชื่อมั่นของผู้ค้ากัมพูชาและแรงงานข้ามชาติจะไม่ฟื้นตัวในทันที การฟื้นสัมพันธ์ทางการค้าจะต้องใช้ "เวลา + นโยบาย" ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีเชิงรุกที่ชัดเจน
แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ใครจะทำงาน?
ประเทศไทยพึ่งพาแรงงานจากกัมพูชาเกือบ 700,000 คน ในหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารทะเล (แปรรูป–ประมง) การก่อสร้าง เกษตรกรรม (โดยเฉพาะแถบภาคตะวันออก และชายแดน โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง–เล็ก (SMEs) การที่ แรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับประเทศในช่วงสงคราม ทำให้เกิด "ช่องว่างแรงงาน" ทันที โรงงานหลายแห่งในจังหวัดชายแดนต้องหยุดการผลิตหรือชะลอการส่งสินค้า ภาคก่อสร้างโดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และระยอง เริ่มเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้างที่มีฝีมือ หากสงครามยืดเยื้อ แรงงานกัมพูชาจะถูกดึงดูดกลับสู่ตลาดแรงงานภายในประเทศหรือย้ายไปประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย การขาดแรงงานจะเร่งให้ต้นทุนการผลิตในไทยสูงขึ้น กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย
ด้านผลกระทบต่อการเมืองไทย เมื่อสนามรบลามเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
รัฐบาลจะยืนยาวหรือจะล้ม?
ความขัดแย้งกับกัมพูชาในครั้งนี้อาจกลายเป็น "จุดเปลี่ยนทางการเมือง" หากประชาชนมองว่ารัฐบาลจัดการวิกฤตชายแดนล้มเหลว โดยเฉพาะหากความเสียหายทางเศรษฐกิจลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น การทูตกับประชาคมอาเซียนล้มเหลวในการคลี่คลายสถานการณ์ ประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและรวมตัวกดดันทางการเมือง
แม้พรรคเพื่อไทยจะยังมีฐานเสียงเหนียวแน่น แต่สงครามครั้งนี้กลับทำให้เกิด การทบทวนบทบาทของพรรคในฐานะพรรครัฐบาลอย่างหนัก โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในเบื้องหลังนโยบายต่างประเทศความคาดหวังของประชาชนต่อการแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ ไม่ใช่ประชานิยม
อนาคตของพรรคเพื่อไทยอาจเผชิญแรงกระเพื่อม ฐานเสียงภาคอีสานและภาคเหนือ อาจเริ่มสั่นคลอน หากเศรษฐกิจท้องถิ่นเสียหาย หรือการปรากฏตัวของพรรคการเมืองใหม่ เช่น พรรคที่อ้างความมั่นคงหรือชาตินิยม อาจแย่งคะแนนเสียงในพื้นที่แนวชายแดนไปได้ แม้ไม่มากแต่ก็จะส่งผลกระทบต่อพรรคในภาพรวม เพราะคะแนนที่ได้จะลดลง
สงครามนี้ไม่มีผู้ชนะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการพิสูจน์ว่าการเมืองระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
แม้สงครามแม้จะอยู่แค่ชายแดน แต่ผลสะเทือนกลับลุกลามไปถึง ตลาดแรงงาน การค้า เสถียรภาพเศรษฐกิจ และอนาคตทางการเมือง
รัฐบาลไทยต้องเลือกว่าจะเดินหน้าด้วย “ยุทธศาสตร์การทูต” หรือปล่อยให้ความขัดแย้งลุกลามจนทำลายความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและระดับนานาชาติเพราะราคาที่ต้องจ่าย อาจไม่ใช่แค่ ค่ากระสุน แต่คืออนาคตของเศรษฐกิจและการเมืองไทยทั้งระบบ