ทำไมไทยถึงไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง..โดย นายนิรนาม..เว็บไซต์ โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 14 มิ.ย.68
ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่เป็นไปในลักษณะตบจูบกัยมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา บางช่วงหวานชื่น บ้างช่วงขมขื่น วนลูปกันไปเหมือนไม่มีทางแก้
ฝ่ายกัมพูชาต้องการนำเรื่องเข้าส่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่ไทยยืนยันว่าต้องการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี มีอะไรก็คุยกันระหว่างสองประเทศไม่ต้องให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยว
หลายคนจึงเกิดความสงสัยในใจว่าทำไมฝ่ายไทยจึงไม่ยอมให้ ICJ พิจารณาเรื่องนี้ เพราะขึ้นชื่อว่า "ศาล" เมื่อตัดสินออกมาอย่างไรทุกฝ่ายก็ต้องให้การยอมรับ จะได้จบปัญหากันไปแบบถาวร ไม่ต้องเล่นละครตบจูบกันอีกต่อไป
สำหรบเหตผลความจำเป็นที่ไทยไม่ต้องการให้นำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกเท่าที่สดับตรับฟังและรวบรวมมาได้น่าจะมีดังต่อไปนี้
1.ไทยไม่รับอำนาจภาคบังคับของ ICJ ตั้งแต่ปี 1960
ไทยไม่ได้รับรอง “Compulsory Jurisdiction” ของ ICJ จึงไม่ผูกพันต้องปฏิบัติตามคำตัดสิน
2. มองว่าเป็นเรื่องอธิปไตย และการควบคุม
รัฐบาลไทยมองว่าการยอมรับ ICJ จะลดทอนอธิปไตยโดยเปิดช่องให้ต่างชาติมายุ่งเกี่ยวกับดินแดนไทย
3.เชื่อว่ากลไกทวิภาคีเพียงพอแก้ปัญหา
ไทยเชื่อว่าคณะกรรมการชายแดน (JBC) และบันทึกความเข้าใจปี 2000 เป็นกลไกที่เหมาะสมในการแก้ไขข้อพิพาท
4.ความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ
ไทยเคยผิดหวังกับ ICJ กรณีเขาพระวิหาร หากไปแล้วแพ้อีกจะกระทบความเชื่อมั่นรัฐบาล โดยเฉพาะในบริบทเมืองไทยที่มีแรงกดดันจากชาตินิยม
ทำไมไม่เอาคดีชายแดนไปพิจารณาที่ ICJ
1.ไม่เข้าเงื่อนไขอำนาจภาคบังคับ: ไม่มีการยินยอมร่วมกัน จึงไม่มีทางนำคดีเข้าศาลแบบภาคบังคับได้
2.ไม่มีญัตติพิเศษหรือข้อตกลงนำเรื่องไป: ไทยไม่ลงนามข้อตกลงที่มี cláusula compromissory จึงไม่มีเขตอำนาจศาลในเรื่องนี้
3.ความเสี่ยงเสียเปรียบทางกฎหมาย: คดีชายแดนก่อนหน้า (1962, 2013) ไทยแพ้ การเอาเรื่องไป ICJ อีกอาจเพิ่มโอกาสเสียดินแดนต่อไป
ผลดี – ผลเสีย ของการไม่ยอมรับ ICJ
ประเด็นอธิปไตย
ผลดี เก็บไว้ในการควบคุม และตัดสินใจภายใต้การตรวจสอบของตนเอง
ผลเสีย เสี่ยงถูกกดดันนาน ๆ จนเป็นข้อพิพาทเรื้อรัง
ประเด็น ความยืดหยุ่นทางการทูต
ผลดี สามารถบริหารสถานการณ์ได้ตามบริบทความสัมพันธ์ของสองประเทศ
ผลเสีย การเจรจาระดับทวิภาคีอาจกินเวลานาน และผลไม่แน่นอน
ประเด็น ปัญหาในประเทศ
ผลดี หลีกเลี่ยงการแพ้คดีที่อาจสร้างต้านทางชาติ
ผลเสีย แรงกดดันจากฝ่ายชาตินิยม รัฐบาลอาจถูกโจมตีว่า “อ่อนข้อ”
ประเด็น ระดับสากล
ผลดี ไม่เปิดทางให้เมืองนอกมีส่วนตัดสินในอธิปไตยไทย
ผลเสีย เสี่ยงถูกตราหน้าว่าหลีกเลี่ยงระบบกฎหมายระหว่างประเทศ
สรุปความได้ว่า
1.ไทยไม่รับรอง ICJ เพราะเห็นว่าลดทอนอำนาจอธิปไตยและไม่มั่นใจว่าคดีชายแดนจะชนะอีก
2.เชื่อมั่นว่า JBC และข้อตกลงเดิมเพียงพอ แม้จะใช้เวลานานและไม่แก้ปัญหาได้เด็ดขาด
3.ชะลอข้อพิพาทไว้ภายใต้กรอบทวิภาคี แต่ตรงนี้เสี่ยงผลชี้ขาดช้า แถมสร้างแรงกดดันภายใน
4.หากไทยเปลี่ยนใจรับข้อพิพาทไป ICJ อาจมีผลดีคือชี้ขาดถูก-ผิดชัดเจน แต่ก็มีโอกาสพ่ายแพ้อีก ซึ่งจะกระทบภาพลักษณ์รัฐและสร้างแรงสั่นคลอนทางการเมือง
บทส่งท้าย
ไทยเลือกไม่เอาคดีชายแดนกัมพูชาไป ICJ เพราะไม่ยอมรับอำนาจศาลภาคบังคับ, หวั่นเสียเปรียบนิติมัยทางกฎหมาย (Legal Personality) , และต้องการควบคุมวิธีการเจรจาด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของแนวทางนี้คือการเจรจาที่อาจลากยาว แถมต้องรับมือกับแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ
เมื่อท่าทีของทั้งสองประเทศสวนทางกันอย่างนี้ เห็นทีต้องเล่นละคร "ตบจูบ" กันต่อไป