ถอดบทเรียนสนามท้องถิ่น ก่อนศึกใหญ่เลือกตั้งระดับชาติ
คอลัมน์ จับกระแสการเมือง..โดยนายนิรนาม..เว็บไซต์ โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 12 พฤษภาคม 2568
การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นายกเทศมนตรี หรือสมาชิกสภาเทศบาล ได้กลายเป็นกระจกสะท้อนความเปราะบางของ "พรรคประชาชน" อย่างชัดเจน ว่าพรรคประสบความล้มเหลวในการช่วงชิงตำแหน่งสำคัญในระดับพื้นที่ แทบไม่มีจังหวัดหรือเทศบาลใหญ่ใดที่สามารถครองอำนาจได้อย่างมั่นคง สาเหตุหลักๆ มีหลายประการที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียด
1. โครงสร้างพรรคที่ยังไม่ลงรากในท้องถิ่น
"พรรคประชาชน" ถือกำเนิดขึ้นจากกระแสการเมืองระดับชาติ มีฐานเสียงแข็งแกร่งในเขตเมืองใหญ่ แต่ในชนบทและเขตเทศบาลย่อย พรรคยังขาดเครือข่ายท้องถิ่นที่เข้มแข็ง การทำงานของพรรคส่วนใหญ่อาศัยกระแสและโซเชียลมีเดีย มากกว่าการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ต่างจากพรรคคู่แข่งที่มี "หัวคะแนน" และฐานมวลชนเหนียวแน่นในระดับหมู่บ้าน-ตำบล
2. ตัวผู้สมัครขาดความเชื่อมโยงกับพื้นที่
ผู้สมัครที่พรรคส่งลงแข่งขันหลายราย ถูกมองว่าเป็น "คนนอก" ขาดประสบการณ์ทำงานจริงในชุมชน ขาดการยอมรับจากผู้นำท้องถิ่นเดิมๆ หรือแม้กระทั่งขัดแย้งกับกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลต่อคะแนนเสียงในระบบเลือกตั้งท้องถิ่น
3. ข้อจำกัดด้านนโยบายที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น
แม้ว่าพรรคประชาชนจะมีนโยบายก้าวหน้าในระดับชาติ แต่เมื่อนำมาปรับใช้ในระดับท้องถิ่นกลับไม่สอดคล้องกับบริบทปัญหาของแต่ละพื้นที่ เช่น การเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพมากกว่าปัญหาปากท้อง การส่งเสริมโครงการไฮเทคโนโลยีในพื้นที่ที่ยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า และการเกษตรพื้นฐาน เป็นต้น
4. ผลกระทบจากคดีความและภาพลักษณ์ของพรรค
สถานการณ์ที่พรรคมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายรายถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะกรณีการผลักดันแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในหลายพื้นที่ ทำให้ผู้สมัครท้องถิ่นของพรรคต้องเผชิญแรงต้านโดยอัตโนมัติ แม้ตนเองจะไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรง
ผลกระทบต่อการเลือกตั้งระดับชาติ
ความล้มเหลวในสนามท้องถิ่นไม่ได้เป็นแค่ "เรื่องเล็ก" แต่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้งระดับชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น
การขาดเครือข่ายหัวคะแนนระดับฐานราก : จะทำให้การหาเสียงทั่วประเทศในอนาคตยากขึ้น การส่งสารของพรรคจะกระจุกอยู่ในกลุ่มเมืองใหญ่เท่านั้น ขณะที่พื้นที่ชนบทและเมืองรองจะหลุดมือไป
ภาพลักษณ์ของพรรคจะสั่นคลอน : เมื่อประชาชนเห็นว่าพรรคขาดความสามารถในการบริหารท้องถิ่น ย่อมตั้งคำถามถึงศักยภาพในการบริหารประเทศ
ความเสี่ยงจากการสูญเสียแกนนำทางการเมือง : หากมีการตัดสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมจากคดีการเมือง โดยเฉพาะกรณีมาตรา 112 จะยิ่งทำให้พรรคขาดทั้งบุคลากรและแนวทางในการนำพาองค์กรต่อไป
เปิดช่องให้พรรคคู่แข่งรุกคืบ : พรรคคู่แข่งที่มีฐานเสียงท้องถิ่นแข็งแรง จะสามารถใช้โอกาสนี้ขยายอิทธิพลและดูดซับฐานเสียงของพรรคประชาชนได้มากขึ้น
"พรรคประชาชน" กำลังเผชิญกับบททดสอบที่หนักหน่วงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง พรรคจำเป็นต้องเร่งสร้างฐานในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง ขยายทีมงานในพื้นที่ หาตัวผู้สมัครที่มีรากฐานเชื่อมโยงกับชุมชน พร้อมทั้งต้องบริหารจัดการคดีความทางการเมืองอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียกำลังหลักก่อนเข้าสู่ศึกใหญ่ในอีก 2 ปีข้างหน้า
หากยังปล่อยให้ภาพความพ่ายแพ้ในระดับท้องถิ่นดำเนินต่อไป โดยไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง การหวังคว้าชัยในสนามเลือกตั้งระดับชาติอาจกลายเป็นเพียง "ความฝันลมๆ แล้งๆ" ที่ไม่มีวันเป็นจริง