Header Ads

การเมืองแบบ “ใจถึง พึ่งได้” ยังเหนือกว่า “อุดมการณ์”

คอลัมน์ จับกระแสการเมือง..โดยนายนิรนาม..เว็บไซต์โลกธุรกิจ..เผยแพร่ 18 พฤษภาคม 2568

การเลือกตั้งท้องถิ่นในระดับเทศบาลที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้แสดงภาพชัดเจนถึง “ภูมิทัศน์ทางอำนาจ” ที่ฝังรากลึกในโครงสร้างการเมืองไทยอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะบทบาทของ “บ้านใหญ่” หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่น ที่ยังครองความนิยมอย่างมั่นคง แม้สังคมไทยจะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและเปิดกว้างด้านข้อมูลข่าวสารมากขึ้นก็ตาม

ข้อมูลจาก “สวนดุสิตโพล” ซึ่งสำรวจความคิดเห็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ (13-16 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ร้อยละ 78.80 ของประชาชน เห็นด้วย ว่า “บ้านใหญ่” ยังมีอิทธิพลในระดับพื้นที่ และเหตุผลหลักคือความใกล้ชิดและเข้าถึงชุมชนในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น งานบุญ งานศพ หรือกิจกรรมท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นถึงการเมืองแบบ “สายสัมพันธ์” ที่ยังคงแข็งแรงเหนือกว่าการเมืองแบบนโยบายหรืออุดมการณ์

บ้านใหญ่: ความสำเร็จจากรากฐานแห่งวัฒนธรรมการเมืองแบบไทย

เมื่อวิเคราะห์จากมุมมองของประชาชน  พบว่า “บ้านใหญ่” สร้างฐานเสียงจาก 3 ปัจจัยหลัก:

การมีส่วนร่วมกับชุมชนในชีวิตประจำวัน (45.13%)

ความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องและมั่นคง (43.19%)

ระบบอุปถัมภ์ที่จับต้องได้ (41.89%)

ในบริบทของการเมืองท้องถิ่นที่ยังคงเป็นเรื่องของ ความเชื่อใจและบุญคุณมากกว่านโยบายระยะยาว โครงสร้างอำนาจที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของบ้านใหญ่จึงไม่ได้เสื่อมอิทธิพลไปตามเวลา ตรงกันข้าม พวกเขากลับสามารถปรับตัว เข้าหาประชาชน และดำรงบทบาท “ผู้จัดการปัญหาท้องถิ่น” ได้ดีกว่านักการเมืองหน้าใหม่หรือผู้สมัครที่พึ่งปรากฏตัว

สะท้อนความคาดหวังของประชาชน: การเมืองที่ต้องทำให้ “อยู่ได้” ก่อน “พัฒนา”

สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นมากที่สุดจากนายกเทศมนตรีที่ได้รับเลือกคือ การปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ (57.25%) ซึ่งถือเป็นความต้องการที่ มีน้ำหนักด้านความมั่นคงมากกว่าความทันสมัย ตามด้วยการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน

นัยยะนี้สอดรับกับระบบอุปถัมภ์ที่ “บ้านใหญ่” สามารถตอบโจทย์ได้ดี เพราะการจัดการเรื่องความปลอดภัย การบรรเทาทุกข์รายวัน และการเป็นศูนย์กลางการติดต่อประสานงานกับภาครัฐ ทำให้ประชาชนรู้สึก “พึ่งพาได้” มากกว่าผู้สมัครจากฝ่ายตรงข้ามที่อาจมีวิสัยทัศน์แต่ขาดเครือข่าย

พรรคการเมืองระดับชาติ: เบื้องหลังที่ขาดไม่ได้

อาจารย์ ดร.รุ่งภพ คงฤทธิ์ระจัน รองคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต  ให้ความเห็นที่สะท้อนชัดว่า ผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งหมายความว่า การเมืองท้องถิ่นในปัจจุบันไม่อาจดำรงอยู่โดยลำพังได้อีกต่อไป การเข้าถึงงบประมาณ การผลักดันโครงการพัฒนา และการบริหารทรัพยากรในระดับพื้นที่ ต้องอาศัยการเกื้อหนุนจากภาคการเมืองระดับชาติ

ดังนั้น แม้ร้อยละ 37.50 ของประชาชนจะเชื่อว่าหากไม่มีพรรคการเมืองระดับชาติช่วยเหลือ กลุ่มท้องถิ่นยังพอบริหารจัดการได้ แต่ในความเป็นจริง การพัฒนาในระดับท้องถิ่นอาจถูกรั้งไว้จากข้อจำกัดทางงบประมาณและการอนุมัติโครงการ

ความหมายเชิงโครงสร้าง: บ้านใหญ่คือ “ระบบ” ไม่ใช่แค่คน

ผลโพลครั้งนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า “บ้านใหญ่” ไม่ได้มีอิทธิพลเพียงเพราะ “ใคร” เป็นเจ้าของนามสกุล แต่เพราะเขาเป็น ส่วนหนึ่งของโครงสร้างการเมืองท้องถิ่นที่ฝังรากอยู่กับชีวิตประจำวันของชุมชน ตั้งแต่ความสัมพันธ์ทางสังคมจนถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ระบบเช่นนี้เป็นทั้งข้อได้เปรียบและข้อจำกัด กล่าวคือ:

เป็นข้อได้เปรียบในแง่ของ การบริหารที่ต่อเนื่อง รู้พื้นที่ และรู้ปัญหา

แต่เป็นข้อจำกัดในแง่ของ การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่หรือแนวคิดทางการเมืองใหม่ๆ เข้ามามีบทบาท

หากไม่เกิดการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนา “สถาบันการเมืองท้องถิ่น” ที่เป็นอิสระจากสายสัมพันธ์และอุปถัมภ์ การเมืองไทยในระดับพื้นที่จะตกอยู่ในภาวะ “หมุนวนอยู่กับคนหน้าเดิม” ต่อไป

 ประชาชนได้อะไรจากผลการเลือกท้องถิ่นตั้งครั้งนี้?

คำตอบที่เป็นจริงที่สุดในวันนี้คือ ความมั่นใจระดับหนึ่งว่าจะ “อยู่ได้” และ “พึ่งพาได้” จากผู้นำที่ประชาชนคุ้นเคยและวางใจ แม้อาจยังไม่ใช่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

หากบ้านใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการหลักของประชาชนได้จริงโดยเฉพาะการปราบอบายมุขและดูแลความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ก็ถือเป็นการต่ออายุของระบอบการเมืองแบบเดิมที่ประชาชนยัง “เลือกใช้” อยู่

แต่ในระยะยาว การเปลี่ยนผ่านไปสู่การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบาย วิสัยทัศน์ และการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ คงต้องรอ “ยุค” ใหม่ ที่ประชาชนพร้อมจะก้าวออกจากเงาของระบบอุปถัมภ์และพร้อมจะเลือกผู้นำจากสิ่งที่ เขาเสนอ ไม่ใช่ สิ่งที่เขาเคยให้

Theme images by fpm. Powered by Blogger.