มติสภา 311 : 175 รับหลักการงบปี 68 วงเงินกว่า 3.75 ล้านล้าน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงินกว่า 3.75 ล้านล้านบาท ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างกฎหมายด้วยคะแนน 311 ต่อ 175 งดออกเสียง 2 โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาแปรญัตติจำนวน 72 คน ใช้เวลาแปรญัตติ 30วันคณะกรรมาธิการฯ นัดประชุมครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน 2567
สำหรับกรรมาธิการ 72 คน แบ่งตามสัดส่วนดังนี้คณะรัฐมนตรี 18 คน พรรคก้าวไกล 16 คน พรรคเพื่อไทย 15 คน พรรคภูมิใจไทย 8 คน พรรคพลังประชารัฐ 5 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ที่เหลือพรรคละ 1คนประกอบด้วยพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ และพรรคไทยสร้างไทย
ทั้งนี้ตลอดการอิปราย 3 วัน ประเด็นที่มีการพูดถึงมากที่สุดคือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งฝ่ายค้านเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะมีการเบียดบังงบประมาณจากส่วนอื่นเพื่อมาทำโครงการนี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในตอนท้ายของการประชุมว่ารัฐบาลยินดีน้อมรับข้อเสนอแนะต่างๆของฝ่ายค้านเพื่อนำไปปรับปรุงการจัดทำงบประมาณให้ดีขึ้น
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปโดยเสนอให้รัฐบาลทบทวนการจัดสรรงบโดยมี 5 สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำ คือ 1.ความชัดเจนแผนรายได้กับแผนหนี้ 2.แผนการปฏิรูปภาษีอย่างเป็นธรรม 3.แผนการช่วยเหลือประชาชน 4.การเปิดเผยกระบวนการพิจารณางบต่อสาธารณะ และการปรับกระบวนการงบตามมาตรฐาน OECD
"ในช่วงถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้ศึกษาวิธีการทำงบประมาณขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทำงบประมาณของไทย ซึ่งน่ายินดีที่ตอนนี้ OECD รับไทยเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิก
สิ่งที่ OECD นำเสนอ ตกผลึกเป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ ว่า งบประมาณ คือการเรียงลำดับความสำคัญ เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด ต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่จ่ายภาษีกับรัฐที่ใช้ภาษี สิ่งสำคัญที่ได้จากการศึกษาการจัดทำงบประมาณของหลายประเทศ รู้สึกประทับใจของนิวซีแลนด์เมื่อปี 2019 ที่ใช้คำว่า the Wellbeing Budget หรือการจัดงบที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี"นายพิธา กล่าวและว่า บางครั้งสิ่งที่ประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกงต้องการ อาจไม่ใช่พายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่ต้องการลมใต้ปีกให้คนตัวเล็กๆ ผ่านการทำงบประมาณและยุทธศาสตร์อย่างละเอียด มีโครงการที่ใส่ใจ
รายได้ของรัฐตอนนี้ 2.88 ล้านล้านบาท ไม่พอสำหรับรายจ่ายจึงต้องกู้เพิ่มที่ 8.65 แสนล้านบาท รวมเป็นเงินสำหรับจับจ่ายใช้สอยที่ 3.75 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากภาษีและไม่ใช่ภาษี ส่วนที่เป็นรายจ่ายเช่น งบบุคลากร 36% ชำระหนี้ 11% ดิจิทัลวอลเล็ต 4.1% งบคงเหลือ 26% สถานการณ์ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมรายได้ของรัฐมีความผันผวนและสัดส่วนการเก็บรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับ GDP ขณะที่เป้าหมายในการจัดเก็บรายได้ของประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกลุ่ม OECD อยู่ที่ 16- 18% แต่ไทยอยู่ที่ประมาณ 14-15% จึงต้องถามรัฐบาลว่ามีแผนงานอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ารายได้ในอนาคตจะสามารถนำมาใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกู้มากขึ้น
นอกจากนี้ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่าการจัดเก็บรายได้รัฐมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ตามเป้า จากประมาณการรายได้ 1.46 ล้านล้านบาท แต่ 7 จาก 12 เดือนที่ผ่านมา จัดเก็บรายได้พลาดเป้าไปแล้วกว่า 35,498 ล้านบาท ซึ่งเมื่อลงในรายละเอียดของกรมสรรพสามิตจะเห็นว่าสาเหตุมาจากนโยบายของรัฐบาลเอง เช่นมาตรการลดภาษีดีเซลและเบนซิน การจัดเก็บภาษีรถยนต์ต่ำกว่าเป้าหมาย มาตรการส่งเสริมการขายรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เห็นว่าเวลารัฐบาลจะคิดทำนโยบายอะไร ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายคือรายได้ของรัฐที่หายไป จึงต้องการให้รัฐบาลอธิบายแผนรายได้ของประเทศว่าจะทำอย่างไรกับการปฏิรูปภาษี การขยายฐานภาษีที่ทำให้คนตัวเล็กไม่ลำบากมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นภาษีแนวดิ่งอย่างภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีแนวราบ รวมถึงการสร้างรายได้ใหม่ๆ เช่นภาษีจากสุราก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาลสามารถผลักดันได้เลย หรือภาษีมรดก ภาษีที่ดิน
การที่รายได้รัฐไม่พอแล้วต้องกู้เพิ่ม เสมือนนำเงินจากอนาคตมาใช้ แต่เราจะมั่นใจในอนาคตได้แค่ไหน ดังนั้นควรมีความรอบคอบก่อนกู้ เช่นที่จะกู้กว่า 8 แสนล้านบาท ประชาชนต้องการทราบว่าตกลงต้องคืนเมื่อไร ใครต้องคืน ดอกเบี้ยเท่าไร และสิ่งที่เสียไปอีกอย่างหนึ่งคือความยืดหยุ่นในการทำงบประมาณ งบประมาณและการกู้ครั้งนี้ไต่เส้นกรอบงบประมาณในหลายมิติ เช่น ชนเพดาน 70% ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ กู้ปริ่มเพดานตามมาตรา 21 พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ หนำซ้ำดัชนีความเชื่อมั่นของทุกภาคส่วนก็ไม่สู้ดีนัก
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณประเทศอื่น สภาฯ ไทยเน้นเรื่องรายจ่ายอย่างเดียว แต่ไม่ค่อยเน้นเกี่ยวกับรายได้หรือแผนเงินกู้ หรือดอกเบี้ย ทำให้เห็นภาพไม่ครบ 360 องศา ตนจึงต้องพูดถึงอัตราการเติบโตของรายได้ ที่โตไม่ทันรายจ่ายของประเทศ ทำให้อัตราการกู้สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยรายได้ของรัฐย้อนหลัง 4 ปีโตเพียง 4.5% ส่วนรายจ่ายโต 6.6% และการกู้โตที่ 7.3%
"เมื่อดูปัญหาของ GDP ตอนนี้ที่รัฐบาลบอกว่าต้องกระตุ้น ไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 1.5% การบริโภค หรือตัว C โต 7 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหาอยู่ที่การลงทุน (I) การใช้งบประมาณแผ่นดิน (G) และการต่อสู้กับการขาดดุลทางการค้า ดังนั้นต้องตั้งคำถามว่าการแจกเงินที่จะทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น เป็นการเกาถูกที่คันหรือไม่"
นายพิธา กล่าวอีกว่า เมื่อมององค์ประกอบของ GDP ปี 2566 จะเห็นว่าภาคเกษตร 9% อุตสาหกรรม 33% บริการหรือการท่องเที่ยว 59% งบประมาณปี 68 ตอบโจทย์การสร้างเศรษฐกิจมากเพียงใด เริ่มต้นที่การเกษตร ปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่า ตามงบปี 68 จัดสรรให้เพียง 725 ล้านบาท ถ้าเป็นแบบนี้ต้องใช้เวลา 100 ปีถึงจะพิสูจน์สิทธิ์ทั้งหมดในการแก้ไขปัญหาที่ดินให้เกษตรกร ข้อเสนอแนะของตนคือลงทุนปลดล็อกที่ดิน ใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี
เรื่องน้ำแล้ง งบ 68 จัดสรรงบพัฒนาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทานเพียง 7,000 ล้านบาท ครอบคลุมไม่ถึง 200,000 ไร่ หรือแค่ 1% ของพื้นที่แล้งทั้งหมด ข้อเสนอของตนคือลงทุนปลดล็อกน้ำ 50,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีเพื่อให้ชนบทไทยมีความมั่นคงในน้ำ และสุดท้ายคือการเผาในภาคเกษตรที่ทำให้อากาศเป็นพิษ งบปีนี้ตั้งเป้าลดอ้อยไฟไหม้ 2 ล้านตันจาก 24 ล้านตัน ซึ่งเป็นเพียง 10% ขณะที่ข้อเสนอของตนคือการลงทุนในเครื่องจักร ปรับระบบการเพาะปลูกอ้อย จะใช้งบ 2,000 ล้านบาท
ส่วนภาคอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย ตั้งไว้ที่ 200,000-350,000 ล้านบาท แต่งบ 68 ของไทยตั้งไว้ที่ 5,000 ล้านบาท จะไปสู้ได้หรือไม่ ต่อมาคือการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมของยานยนต์สันดาปไปสู่ EV ขณะที่สหรัฐฯ ใช้งบ 500,000 ล้านบาท ไทยจัดงบสนับสนุนเพียง 1,275 ล้านบาท เพียงพอจริงหรือ หรือการปรับตัวให้ทันกับ AI งบที่เกี่ยวข้องกับ AI ของไทยอยู่ที่ 1,414 ล้านบาท ขณะที่ญี่ปุ่นใช้ 17,000 ล้านบาท สิงคโปร์ใช้ 5,400 ล้านบาท/ปี ลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี
ภาคการท่องเที่ยวคือเครื่องจักรเศรษฐกิจสุดท้ายที่ประเทศไทยมีอยู่ ต้องรักษาด้วยการลงทุนที่โครงสร้างพื้นฐาน หลายคนบอกว่าเรื่องการกระตุ้นอุปสงส์หรือนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวนั้น ประเทศไทยไม่ค่อยมีปัญหา ติดอันดับ 1-5 ของโลกเสมอ แต่สิ่งที่มีปัญหาคือโครงสร้างพื้นฐานในการท่องเที่ยว อยู่ที่อันดับ 47 ของโลก รวมถึงมีปัญหาการกระจายรายได้ เพราะที่ผ่านมา 70% กระจุกอยู่ที่ 5 จังหวัด ตัวอย่างที่อยากให้รัฐบาลดูคือรัฐบาลนิวซีแลนด์ลงทุน 27,000 ล้านบาทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ในขณะที่รัฐบาลมองว่าต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็มีคนที่ถูกมองข้ามมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนเด็กเล็ก งบหายไป 15,000 ล้านบาท เท่ากับเด็กเล็ก 0-6 ปี ที่หลุดออกจากระบบ 1.5 ล้านคน หรือสวัสดิการผู้พิการที่งบหายไปอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ทำให้ผู้พิการราวแสนคนไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรืองบดูแลไฟป่าของท้องถิ่น ถูกตัดไปพันกว่าล้านบาท ทำให้ป่า 7.5 ล้านไร่ ไม่ได้รับการดูแล
----------------------
เนื้อหาบางส่วนจาก พรรคก้าวไกล : https://www.facebook.com/photo?fbid=1045324103823608&set=a.489553632733994



